ผู้คนถามคำถาม, พระเจ้าทรงตอบด้วยพระวจนะของพระองค์

สรุป

« »

สรุป

ด้วยการขอบพระคุณ ผมมองย้อนกลับไปที่ 54 ปีแห่งการเทศนาข่าวประเสริฐและ 42 ปีที่อยู่ในพันธกิจนานาชาติ ซึ่งผมมีสิทธิพิเศษที่จะแบ่งปันพระวจนะอันแท้จริงผ่านการประชุมทั้งหลายและผ่านการออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ให้กับคนทั้งหลายนับล้านคนใน 130 ประเทศ บางทีมันอาจจะช่วยได้โดยเฉพาะพี่น้องทั้งหลายในทวีปแอฟริกาซึ่งบราเดอร์บรานฮามได้เห็นนกอินทรีเยอรมันบินผ่านแอฟริกา ในทุกประเทศ ในทุกเมือง ผมได้แนะนำผู้เผยพระวจนะ นอกจากนั้นผมเทศนาพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดเสมอ ผู้ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ และแน่นอนว่าผมสอนอย่างสัตย์ซื่อจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ผมมิเคยได้จัดการกับเรื่องต่างๆ ที่ถกเถียงกันในที่สาธารณะ มิเคยได้เอ่ยนามของบราเดอร์ที่เผยแพร่คำสอนเทียมเท็จทั้งหลาย อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสรรเสริญของชายคนหนึ่งได้มาถึงมิติหนึ่งที่เป็นการบูชารูปเคารพกับบุคคลของผู้เผยพระวจนะ ด้วยพวกศิลปวัตถุ เช่น พวกรูปภาพ, ไม้กางเขน, เศษผ้า และพวกสถานที่พิเศษ เช่น หลุมฝังศพ ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นสถานที่ของการแสวงบุญ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะพูดขึ้นมา ไม่ว่าเสียงของผมจะได้ยินหรือไม่ การผลักดันครั้งสุดท้ายเพื่อจัดการกับปัญหาทั้งหลายซึ่งถกเถียงกันมากเหล่านี้ได้รับมาจากพัสดุที่มีซีดีและดีวีดีสี่แผ่นส่งมาให้ผมโดยบราเดอร์ท่านหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา มันเพิ่งมาถึงตอนที่ผมได้ตอบคำถามทั้งหลายเหล่านี้ ภารกิจหนึ่งซึ่งผมหวังไว้ว่าจะหลีกเลี่ยง พวกดีวีดีกลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและความเร่งด่วนต่อไปในการแสดงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นข้อโต้แย้งในแง่ของพระวจนะนิรันดร์ของพระเจ้า

ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นข้อความที่มายังศูนย์กลางบรานฮาม ซึ่งไม่สอดคล้องกับข่าวประเสริฐนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์อีกต่อไป มันกำลังถูกได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ผู้เผยพระวจนะกล่าว…”, “ ผู้เผยพระวจนะบอกผม …” เป็นต้น ฯลฯ พวกคนเหล่านี้มิได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์อีกต่อไป พระองค์มิได้ทรงมีส่วนร่วมในสิ่งที่พี่น้องเหล่านี้ที่แบ่งปันในคำพยานทั้งหลายของพวกเขา ภาระใจคือ ผู้เผยพระวจนะและสิ่งที่ท่านได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสนั้นมิได้นำเข้ามาสู่การพิจารณา เรื่องราวของชีวิต, เรื่องราวของการล่าสัตว์, เรื่องราวของเต็นท์, เรื่องราวของเครื่องบิน, และอื่นๆ เป็นพวกเนื้อหาของคำพยานทั้งหลายของพวกเขาและสิ่งที่บราเดอร์บรานฮามได้กล่าวไว้ในฐานะคนๆ หนึ่งถูกประกาศว่าเป็น พระเจ้าตรัสดังนี้ นี่มิใช่ความเบี่ยงเบนที่สมบูรณ์จากพระกิตติคุณอันแท้จริงของพระเยซูคริสต์เจ้าตามที่ อ. เปาโล (กาลาเทีย บทที่ 1) ได้เทศนาเรื่อง การละทิ้งความเศร้าที่นำไปสู่การไหว้รูปเคารพทุกชนิดหรือ?

ตอนนี้หลังจากผ่านไปกว่าสี่สิบปี เรื่องราวชีวิตของท่านกำลังถูกเผยแพร่และเรื่องราวใหม่กำลังเกิดขึ้น พวกเรามีเรื่องราวชีวิตเกี่ยวกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา เกี่ยวกับ    เปโตร หรือ อ. เปาโล หรือไม่? หรือว่าพวกเรามีถ้อยคำแห่งชีวิตที่พระเจ้าตรัสผ่านพวกเขา? วิลเลี่ยม บรานฮาม ได้ทิ้งไว้ให้พวกเราประกาศอย่างชัดเจนว่าได้นำพวกเรากลับไปหาพระเจ้า บราเดอร์บรานฮามมิได้พูดในแง่มุมของมนุษย์ในพระธรรมเทศนาของเขาเองหรือว่า “ถ้ากินเชอร์รี่พายพวกเราแค่เอาเมล็ดทิ้งไว้และกินต่อไปเรื่อยๆ”? ท่านมิได้พูดหรือว่า “การกินไก่พวกคุณแค่วางกระดูกไว้ข้างๆ”? สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นอย่างแม่นยำซึ่งอยู่ข้างจุดนั้นกำลังถูกทำให้เป็นประเด็นหลักทั้งหลาย -“กระดูกทั้งหลาย” ของการต่อสู้กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด วันนี้พวกเราจะต้องถามว่า “คุณเชื่อพระธรรมเทศนาอย่างไหน? คุณเทศนาข่าวประเสริฐอะไร?”

ในปฐมกาลเป็นพระวาทะ มิใช่การตีความ! ในปฐมกาลคือความเป็นหนึ่งเดียวกัน มิใช่หลายฝ่าย! การประนีประนอมหรือการคลุกเคล้ากันเป็นไปไม่ได้ ในปฐมกาลจริงๆ พระเจ้าได้ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด ดังนั้นมันจึงยังคงอยู่ตลอดไป ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงของพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขในฐานะที่เป็นความจริงหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นก็กำลังทรยศต่อความจริงและดังนั้นจึงได้รับการกล่าวโทษให้เชื่อเรื่องโกหกและจะถูกพิพากษา (2 เธสะโลนิกา 2:10-12) ถ้อยแถลงทั่วไปที่ยากลำบากทั้งหมดซึ่งบราเดอร์บรานฮามได้กล่าวไว้และสิ่งที่อ้างถึงพันธกิจของเขาต้องถูกทิ้งไว้กับพระเจ้าด้วยว่า “สิ่งเร้นลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่บรรดาสิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของพวกเรา และของลูกหลานของเราทั้งหลายเป็นนิตย์ …” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)

พี่น้องทั่วโลกได้แสดงภาระใจของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผมไม่ได้เป็นผู้วินิฉัย แต่โดยอาศัยคุณธรรมของพระบัญชาของพระเจ้า ผมอยากจะบอกตำแหน่งของผมอย่างชัดเจน: "สำนักงานใหญ่" ของผมมิได้อยู่บนโลกนี้ มันอยู่ในสวรรค์ และการฟัง “พระสุรเสียงของพระเจ้า” ผ่านทางพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งกำลังถูกประกาศไปทั่วโลก คำตักเตือนต่อไปนี้ยังคงใช้ได้ “วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป!” (ฮีบรู 3) เช่นเดียวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะทุกท่าน, พระเจ้า, และเหล่าอัครสาวกในยุคสมัยของพวกเขามีพันธกิจของพวกเขาในสถานที่ซึ่งแตกต่างกัน ดังนั้นบราเดอร์วิลเลี่ยม บรานฮาม อันเป็นที่รักของพวกเราจึงมีพันธกิจของท่านเป็นสำคัญเช่นกันในคริสตจักรเจฟเฟอร์สันวิลล์ นอกจากนั้นไม่มีผู้ใดต้องเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม แม้กระนั้นพระวจนะยังได้มาถึงจากที่นั่น (อิสยาห์ 2; กิจการ 2)

ผมมีพระธรรมเทศนาทั้งหลายทุกเรื่องก่อนที่บราเดอร์บรานฮามจะได้ถูกวางลงเพื่อการพักผ่อนและได้ครอบครองอาหารฝ่ายวิญญาณอันมีค่าเมื่อหลายปีก่อนที่จะมีการเปิดตัว "วอยซ์ อ๊อฟ ก๊อด เรคคอร์ดดิ้งส์" ในเมืองเจฟเฟอร์สันวิลล์ พระวจนะที่ได้รับการเปิดเผยสำแดงนั้นมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ แต่มันสามารถให้ทุกคนอ่านได้ เท่าที่ผมห่วงใยคือ  ข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดยังคงมีผลตลอดไป ซึ่งรวมถึงคำเตือนว่า "จงแสวงหาเรา และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ แต่อย่าแสวงหาเบธเอล และอย่าเข้าไปในกิลกาล หรือข้ามไปยังเบเออร์เชบา เพราะว่ากิลกาลจะต้องตกไปเป็นเชลยเป็นแน่ และเบธเอลก็จะสูญไป จงแสวงหาพระเยโฮวาห์และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ …” (อาโมส 5) ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสถานที่พิเศษทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองในวิถีทางที่ไม่ธรรมดา แต่ต่อมาพวกเขาได้ถูกนำไปสู่การทำลายล้างของประชากรของพระเจ้า กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระเจ้าได้ทรงเลือกด้วยพระองค์เองจึงถูกทำลายหลายต่อหลายครั้ง บนภูเขาโมริยาห์ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภูเขาพระวิหาร พวกมุสลิมได้สร้างมัสยิดอัล อักซา และโดม อ๊อฟ เดอะ ร็อค ตราบใดที่พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งผ่านพันธกิจหนึ่ง สถานที่นั้นรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้า ทันทีที่พันธกิจนั้นสิ้นสุดลงพื้นที่เหล่านั้นก็กลายเป็นพวกสถานที่แสวงบุญสำหรับความเชื่อโชคลางและการไหว้รูปเคารพอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เหมือนกับยุคสมัยของเฮเซคียาห์ที่พวกคนอิสราเอลได้นมัสการและนำเครื่องบูชามายังงูทองเหลืองที่โมเสสได้สร้างขึ้นนั้น เฮเซคียาห์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะทรงทุบมันเป็นชิ้นๆ (2 พงศ์กษัตริย์ 18:1-8)

ปัจจุบันนี้พระเจ้าจะตรัสกับพวกเราว่า “จงแสวงหาเรา และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่” พระองค์มิอาจจะตรัสว่า “จงไปที่กรุงเยรูซาเล็มหรือเมืองเจฟเฟอร์สันวิลล์” พระองค์มิอาจจะตรัสว่า “จงไปแสวงบุญที่หลุมฝังศพของผู้เผยพระวจนะ หรือภูเขาซันเซ็ท” เพราะพระองค์ได้ตรัสกับพวกเราทุกคนว่า “… เชื่อเราเถิดเวลามาถึงเมื่อเจ้าจะไม่อยู่ในภูเขานี้หรือในเยรูซาเล็มนมัสการพระบิดา…เวลามาแล้วและตอนนี้เมื่อผู้นมัสการแท้จะนมัสการ พระบิดาในวิญญาณและในความจริง…พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ: และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ... และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง ... พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง!” (ยอห์น 4:19-24) ทุกสิ่งที่พระเจ้าของพวกเราตรัสไว้นั้นยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบันนี้และจะใช้ได้ตลอดไป อาเมน! อาเมน!

ผมรู้จักได้ด้วยว่า บราเดอร์บรานฮามในฐานะที่เป็นมนุษย์ ผมได้รับประทานอาหารกับท่านที่โต๊ะเดียวกัน ได้ขับรถไปกับท่านในรถของท่าน ท่านได้บอกผมถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ผมได้เก็บจดหมายของท่านไว้ 21 ฉบับจากการติดต่อของพวกเราในช่วงปี 1958 ถึง 1965 สองครั้งที่ผมได้เทศนาในคริสตจักรเจฟเฟอร์สันวิลล์ตามคำร้องขอโดยตรงของท่าน ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ขอให้ผมเทศนาแทนท่านให้แก่การสามัคคีธรรมของเหล่านักธุรกิจฟูล ก็อดสเปล ที่ห้องอาหารคลิฟตัน ในกรุงลอส แองเจลีส มีหลายสิ่งซึ่งผมจำได้ด้วยความขอบคุณ ท่านยังบอกผมเกี่ยวกับบราเดอร์คนหนึ่งที่จ่ายหนี้ภาษีรายได้ส่วนที่เหลือจำนวน 40,000 ดอลลาร์ เพื่อให้พาสปอร์ตคืนแก่ท่าน ผมได้ดื่มชาในบ้านของท่าน หลังจากที่ท่านได้กลับบ้านไปในพระสิริ ผมได้รับอนุญาตให้อยู่ในอพาร์ตเมนต์ของท่านหลายครั้งในระหว่างการเยี่ยมเยียนเมืองทูซอนของผม แต่สิ่งส่วนตัวทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคำตักเตือนศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอย่างไร?

แม้แต่บราเดอร์บรานฮามก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น เมื่อท่านกล่าวว่า 700 แทนที่จะเป็น 7,000 หรือเมื่อท่านกล่าวว่า เอโนคได้เดินไปกับพระเจ้าเป็นเวลา 500 ปี ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกนี้มาเพียงแค่ 365 ปีเท่านั้น แล้วมันก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความลื่นของลิ้นเพียงใด และเมื่อท่านได้กล่าว เช่น “ข้าวสาลีจะถูกเผา” จากนั้นท่านก็แก้ไขตัวเองในทันที “… ข้าวละมานจะถูกเผา แต่ข้าวสาลีจะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของสวรรค์” เมื่อท่านกล่าวว่า โนอาห์ได้เทศนาเป็นเวลา 120 ปี จากนั้นท่านก็ทำซ้ำๆ สิ่งที่พวกนักเทศน์คนอื่นได้กล่าวไว้ นั่นคือช่วงเวลาแห่งชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ (ปฐมกาล 6:3) โนอาห์มีอายุ 500 ปี เมื่อบุตรชายทั้งสามของเขาเกิด (ปฐมกาล 5:32) และเขาอายุ 600 ปี เมื่อเกิดน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล 7:6)

จริงๆ แล้วมีถ้อยแถลงไม่กี่ข้อที่แสดงให้เห็นว่า แม้ท่านจะเป็นผู้เผยพระวจนะในพันธกิจอันผิดพลาดมิได้ของท่าน ท่านก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา ตัวอย่าง เช่น ในฐานะคนๆ หนึ่งท่านได้กล่าวสิ่งต่อไปนี้ในพระธรรมเทศนาของท่าน “การรับขึ้นไป” อ้างถึง 1 เธสะโลนิกา 4 ซึ่งกล่าวเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซู พระเจ้าของพวกเรา “… สามสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่พระเจ้าพระองค์เองจะทรงปรากฏ … เสียงกู่ก้อง, สำเนียงของเทพบดี, เสียงแตรของพระเจ้า … พระเยซูทรงกระทำทั้งสามสิ่งเมื่อพระเยซูเสด็จลงมา…” บราเดอร์บรานฮาม เห็นได้ชัดว่าได้หมายความว่า: สามสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา “ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะของพระเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้ ด้วยว่าพระเจ้าเอง (มิใช่พระธรรมเทศนา) จะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบพระเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหล่ะเราก็จะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4:15-17) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ในขณะเดียวกัน “ดูก่อน ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเปื่อยเน่า แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่" (1 โครินธ์ 15:51-52) บราเดอร์ บรานฮามได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “มีพระธรรมเทศนามาถึงก่อน ตอนนี้เป็นเวลาตัดแต่งตะเกียง จงลุกขึ้นและตัดแต่งตะเกียงของท่านทั้งหลาย …” นั่นมิใช่ 1 เธสะโลนิกา 4 นั่นคือ มัทธิว 25 “ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” พวกถ้อยแถลงที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่สมบูรณ์นั้นถูกใช้ไปในทางที่ผิดเพราะคำสอนที่ว่าตั้งแต่การเปิดผนึกของตราประทับของพระเยซูได้ทรงออกจากพระที่นั่งกรุณาซึ่งเปลี่ยนไปเป็นพระที่นั่งพิพากษา และอยู่ในขั้นตอนของการเสด็จลงมา ช่างเป็นเหตุผลที่น่าเศร้าและเป็นความคิดนอกรีต!

ควรจัดการกับสิ่งต่างๆ อีกมากมายจริงๆ แต่ผมต้องหยุดที่นี่ตอนนี้ด้วยการประกาศต่อไปนี้: ในช่วงระยะเวลา 14 ปีแรกตั้งแต่ปี 1966 มีความปรองดองอันยอดเยี่ยมภายในการสามัคคีธรรมทั้งหลายของพระธรรมเทศนา ในปี 1979 ซาตานได้พยายามทำลายพระราชกิจของพระเจ้าและสังหารอิทธิพลของพันธกิจนี้ นับจากนั้นเป็นต้นมาพวกคำสอนผิดทั้งหมดและการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งหมดของพวกมันได้เริ่มขึ้น พี่น้องส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเริ่มต้นใหม่เมื่อ 40 ปีก่อนและความต่อเนื่องหลังจากการผ่านไปของบราเดอร์บรานฮามเป็นมาอย่างไร บราเดอร์บรานฮามเห็นว่า เจ้าสาวหลุดออกไปจากการก้าวไป นอกจากนั้นท่านยังได้เห็นว่า เจ้าสาวถูกนำกลับเข้าไปในการก้าวไปกับพระวจนะอีกครั้งหนึ่ง

ตราบใดที่พระธรรมเทศนาทั้งหลายถูกทิ้งไว้ในแบบที่พวกมันเป็น ก็ไม่มีหลายฝ่าย การแยกได้เกิดขึ้นเฉพาะในปี 1980 เท่านั้น หลังจากที่พี่น้องทั้งหลายได้รวบรวมพวกคำอ้างอิง การกล่าวพวกมันออกไปจากบริบท และได้แนะนำพวกหลักคำสอนพิเศษด้วยความคาดหวังทั้งหลายที่ไม่ตรงกับข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระวจนะนำพวกเราไปสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา การตีความนำเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ เมื่อมองดูที่สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราต้องยอมรับว่าไม่มีมนุษย์คนใด นอกจากพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหลายภายในพระธรรมเทศนายุคสุดท้ายได้ พวกเขาทุกคนกล่าวว่า “ผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรมิอาจจะถูกหลอกลวงได้” – แม้ว่าพวกเขาได้หลอกลวงตัวของพวกเขาเองและกำลังหลอกลวงผู้อื่นอยู่ การหลอกลวงไม่เคยมาจากภายนอก แต่มาจากภายใน (กิจการ 20:30) และมันใกล้เคียงกับต้นฉบับอย่างน่าอัศจรรย์ พวกหลักคำสอนพิเศษกำลังถูกเรียกว่า การเปิดเผยสำแดงทั้งหลาย แต่พวกมันไม่ได้รับการยืนยันจากพระวจนะที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พวกเราพบซ้ำซากอย่างน่าอนาถท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนิกายทั้งหมดซึ่งชี้ไปที่ "ผู้เผยพระวจนะ" หรือ "ผู้เผยพระวจนะหญิง" หรือผู้ก่อตั้งของพวกเขา คำสารภาพของพวกเขาคือ “พวกเราเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลและผู้เผยพระวจนะของพวกเรา!”

ผมกล่าวเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า: จุดยืนที่ถูกต้องคือ การเคารพพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความถูกต้องของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกับทุกนิกายที่เข้าใจผิดและตีความข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวที่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา และครั้นเมื่อพวกเขาสร้างคริสตจักรและนิกายของพวกเขาแล้ว สิ่งเดียวกันก็ได้เกิดขึ้นภายในพระธรรมเทศนาด้วยวิวรณ์ บทที่ 10 คำสอนผิดทุกคำสอนภายในพระธรรมเทศนา ณ เวลานี้ มาถึงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะวิวรณ์ บทที่10 ถูกเข้าใจผิด ถูกตีความผิด ถูกนำออกจากบริบท และถูกวางไว้อย่างไม่ถูกต้อง

บราเดอร์บรานฮามได้แนะนำพวกเราอีกครั้งหนึ่งสำหรับคำสอนพื้นฐานทั้งหลายของข้อพระคัมภีร์ทั้งหลาย พวกมันสอดคล้องกับพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ พวกเราไม่เชื่ออย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่พวกเราค้นหาพระคัมภีร์ทั้งหลายเพื่อตรวจสอบว่า สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนั้นหรือไม่ (กิจการ 17:11) พวกเราต้องวาง       บราเดอร์บรานฮามไว้อย่างถูกต้องตามมาลาคี บทที่ 4 ในฐานะผู้เผยพระวจนะที่ได้ทรงสัญญาไว้ ท่านเป็นผู้ส่งสาส์นสำหรับคริสตจักรยุคสุดท้าย อาเมน

มันเป็นความปรารถนาของผมที่จะรับใช้พระเจ้าในวิถีทางที่ทุกคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเจ้าสาวของพระเยซูคริสต์ถูกนำเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันของความเชื่อ สี่สิบปีผ่านมาตั้งแต่บราเดอร์บรานฮามได้ถูกรับไปสู่พระสิริและตอนนี้พวกเราคาดหวังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลง – พร้อมกับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เคยแม้แต่เกิดขึ้นแล้วบนแผ่นดินโลก

โยบเป็นตัวอย่างสำหรับพวกเราในพระคัมภีร์ไบเบิล - เขาได้อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งเขาได้รับสองเท่าจากทั้งหมดที่เขาเคยมี ซาตานได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา แม้แต่ภรรยาของเขาก็ต่อต้านเขาและกล่าวว่า “ท่านยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของท่านหรือ จงแช่งสาปพระเจ้าและตายเสียเถิด” (2:9) เพื่อนสนิททั้งหลายของเขาก็กระหนาบเขาและไม่เชื่อเขา แต่เมื่อถึงเวลานั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโยบด้วยพระองค์เองและนั่นก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมด โยบได้อธิษฐานเผื่อเพื่อนๆ ของเขาและได้รับเป็นสองเท่าจากที่เขาเคยมีมาก่อน (โยบ 42:10-17) ประสบการณ์นี้ถูกทิ้งไว้ให้พวกเราในฐานะพระสัญญาเกี่ยวกับฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูและพระราชกิจสุดท้ายของพระเจ้าก่อนการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ในขณะที่โยบได้รับคำตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นาง งานและเพื่อนๆ ของเขาได้กล่าวไว้ก็ถูกลืมไป นั่นคือวิธีที่มันจะเป็นในกรณีของพวกเราด้วยเช่นกัน “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ... ท่านได้ยินเกี่ยวกับความอดทนของโยบ …” (ยากอบ 5:7-11)

ตัวอย่างที่สองคือ โยเซฟ ผู้ที่ถูกโยนลงไปในหลุมโดยพี่น้องของเขาเองและถูกขังอย่างไม่เป็นธรรมเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง – นั่นคือ หุบเขาทั้งหลายที่เขาต้องผ่านก่อนที่เขาจะแจกจ่ายอาหารให้กับพี่น้องของเขาในช่วงเวลาของการกันดารอาหารได้ เขามิเคยได้กล่าวหาพวกเขาเลย ในทางตรงกันข้ามเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอให้ท่านเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” และพวกเขาก็เข้ามาใกล้ และท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าคือโยเซฟน้องชายของพวกพี่ ที่พวกพี่ขายมายังอียิปต์ อย่าโกรธตัวเองที่พวกพี่ขายข้าพเจ้ามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าให้มาก่อนหน้าพวกพี่เพื่อจะได้รักษาชีวิตไว้เพราะฉะนั้น บัดนี้มิใช่พวกพี่เป็นผู้ส่งให้ข้าพเจ้ามาที่นี่ แต่พระเจ้าเอง …” (ปฐมกาล 45)

ถ้ามันมิได้เคยเป็นมาแล้วสำหรับโยบ พวกเราคงไม่เคยรู้จักเกี่ยวกับเรื่อง การฟื้นฟูสองเท่า ถ้าหากไม่มีโยเซฟ พวกเราคงไม่มีตัวอย่างสำหรับการแจกจ่ายอาหารในช่วงเวลาของการกันดารอาหาร ถ้าหากพันธกิจของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมามิได้เกิดขึ้น หนทางของพระเจ้าก็คงมิอาจจะถูกตระเตรียมได้ ถ้าหากไม่มีอัครสาวกเปาโล พวกคนต่างชาติคงจะมิเคยได้ยินข่าวประเสริฐ ถ้าหากไม่มีพันธกิจ วิลเลี่ยม บรานฮาม พวกเราก็คงจะไม่มีพระธรรมเทศนายุคสุดท้าย และคนบางคนกล่าวว่า ถ้าหากบราเดอร์แฟรงก์ไม่ได้รับพระบัญชาโดยตรง โลกก็คงจะมิเคยได้รู้เกี่ยวกับพระธรรมเทศนานี้เลย ในกรณีเหล่านี้ทั้งหมดพวกเรามิได้เกี่ยวข้องกับพันธกิจทั้งหลายในคริสตจักรท้องถิ่น แต่เป็นพันธกิจทั้งหลายที่ได้รับการเชื่อมโยงโดยตรงกับการตระหนักถึงแผนการณ์แห่งความรอดของพระเจ้า

ตามข้อพระคัมภีร์ที่ยกมาตอนต้นของแผ่นพับนี้ ผมได้เขียนคำอธิบายนี้ด้วยมโนธรรมอันดี ผมขอแสดงปรารถนาอย่างจริงใจว่า ทุกคนจะปลดปล่อยตัวของพวกเขาเองจากบ่วงของพวกวิญญาณชั่วได้และไม่ถูกกักขังอยู่ในการตีความทั้งหลายเพื่อทำตามความประสงค์ของเขาอีกต่อไป ในฐานะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็น        พระวิญญาณแห่งความจริงและทรงนำพวกเราไปสู่ความจริงทั้งหมด (ยอห์น 16:13) แน่นอนว่ามีพวกวิญญาณล่อลวงในหลักคำสอนนอกรีตทั้งหมดซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพวกวิญญาณชั่ว (1 ทิโมธี 4:1) งานเฉลิมฉลองได้มาถึงและเสรีภาพของพระเจ้ากำลังประกาศให้แก่ทุกคน (ลูกา 4:17-21) ทุกคนสามารถกลับมาหาพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์และรับพระสัญญาตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (ฮีบรู 10:35-38)

โดยพระคุณของพระเจ้าผมจะต้องแบกกางเขนของผม - แต่ไม่ต้องรับน้ำหนักจากพวกความเข้าใจผิดและการตีความผิดทั้งหลายอีกต่อไป - จนกว่าผมจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ผมจะต้องทนรับการติเตียนของพระคริสต์ การติเตียนของบราเดอร์บรานฮาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตำหนิของตัวของผมเองจนกว่าผมจะไปถึงพระสิริ มันมิได้ถูกมอบไว้ให้แก่ผมที่จะมีชีวิตอยู่เหนือการติเตียนเช่นเดียวกับกรณีของเหล่าผู้รับใช้ส่วนใหญ่ของพระเจ้า นั่นยังเพิ่มความปรารถนาของผมที่จะรับใช้ประชากรของพระเจ้าด้วยการประกาศคำตักเตือนอันผิดพลาดมิได้ทั้งหมดของพระเจ้า ขอพระเจ้าประทานจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของผม ดั่งที่พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของผมตรัสด้วยพระองค์เองว่า “… เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 18:37) ผมอาจจะพูดสิ่งนี้ได้เหมือนผู้รับใช้ที่แท้จริงทุกคนของพระเจ้าอาจจะกล่าวได้ว่า “ผมบังเกิดใหม่โดยพระวจนะเดียวกันและพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน ต่อความหวังที่ดำรงอยู่ว่าจะเป็นพยานเกี่ยวกับความจริง” ผมอาจจะกล่าวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างที่อัครสาวกยอห์นได้ทำแล้วได้ เพราะคำมุสามิได้มาจากความจริง (1 ยอห์น 2:21) และนั่น “… ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา …” (1 ยอห์น 4:6) “ … ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า …” (ยอห์น 8:47) ในปฐมกาลทรงเป็นพระวาทะ – พระวาทะเดียวกันทรงเป็นตอนนี้ ที่ตอนท้าย การตีความทุกอย่างเป็นภาพลวงตาอันเป็นพิษของพวกวิญญาณชั่วซึ่งมักจะแสดงออกว่าตนเองเป็นทูตแห่งความสว่าง

สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ที่จะทรงกระทำจะเกิดขึ้นกับคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ทั่วโลก: นางจะออกมาจัดเตรียมเพื่อจะพบกับเจ้าบ่าวเมื่อพระองค์เสด็จมา ผมอ้างต่อพระเจ้าว่า จิตวิญญาณทุกดวงที่ได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วจะเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ และเรียกผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรให้ออกมาจากความสับสนทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และเข้ามาในความเป็นหนึ่งเดียวกันของความเชื่อ ผมขอประกาศว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะกักขังพวกเขาไว้ในค่ายต่างๆ อีกต่อไปและทำให้พวกเขาตกเป็นทาสเพื่อจะเชื่อในการตีความต่างๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีอิสระที่จะเชื่อในสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ทั้งหลายกล่าวเท่านั้น อาเมน!

“และพระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ...

พระองค์ผู้ทรงเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ ตรัสว่า “แน่นอน เราจะมาโดยเร็ว” อาเมน  พระเยซูเจ้า ขอให้เป็นเช่นนั้น เชิญเสด็จมาเถิด” (วิวรณ์ 22:17-21)

สรุป

ด้วยการขอบพระคุณ ผมมองย้อนกลับไปที่ 54 ปีแห่งการเทศนาข่าวประเสริฐและ 42 ปีที่อยู่ในพันธกิจนานาชาติ ซึ่งผมมีสิทธิพิเศษที่จะแบ่งปันพระวจนะอันแท้จริงผ่านการประชุมทั้งหลายและผ่านการออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ให้กับคนทั้งหลายนับล้านคนใน 130 ประเทศ บางทีมันอาจจะช่วยได้โดยเฉพาะพี่น้องทั้งหลายในทวีปแอฟริกาซึ่งบราเดอร์บรานฮามได้เห็นนกอินทรีเยอรมันบินผ่านแอฟริกา ในทุกประเทศ ในทุกเมือง ผมได้แนะนำผู้เผยพระวจนะ นอกจากนั้นผมเทศนาพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดเสมอ ผู้ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ และแน่นอนว่าผมสอนอย่างสัตย์ซื่อจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ผมมิเคยได้จัดการกับเรื่องต่างๆ ที่ถกเถียงกันในที่สาธารณะ มิเคยได้เอ่ยนามของบราเดอร์ที่เผยแพร่คำสอนเทียมเท็จทั้งหลาย อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสรรเสริญของชายคนหนึ่งได้มาถึงมิติหนึ่งที่เป็นการบูชารูปเคารพกับบุคคลของผู้เผยพระวจนะ ด้วยพวกศิลปวัตถุ เช่น พวกรูปภาพ, ไม้กางเขน, เศษผ้า และพวกสถานที่พิเศษ เช่น หลุมฝังศพ ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นสถานที่ของการแสวงบุญ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะพูดขึ้นมา ไม่ว่าเสียงของผมจะได้ยินหรือไม่ การผลักดันครั้งสุดท้ายเพื่อจัดการกับปัญหาทั้งหลายซึ่งถกเถียงกันมากเหล่านี้ได้รับมาจากพัสดุที่มีซีดีและดีวีดีสี่แผ่นส่งมาให้ผมโดยบราเดอร์ท่านหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา มันเพิ่งมาถึงตอนที่ผมได้ตอบคำถามทั้งหลายเหล่านี้ ภารกิจหนึ่งซึ่งผมหวังไว้ว่าจะหลีกเลี่ยง พวกดีวีดีกลายเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญและความเร่งด่วนต่อไปในการแสดงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นข้อโต้แย้งในแง่ของพระวจนะนิรันดร์ของพระเจ้า

ทั้งหมดนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นข้อความที่มายังศูนย์กลางบรานฮาม ซึ่งไม่สอดคล้องกับข่าวประเสริฐนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์อีกต่อไป มันกำลังถูกได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ผู้เผยพระวจนะกล่าว…”, “ ผู้เผยพระวจนะบอกผม …” เป็นต้น ฯลฯ พวกคนเหล่านี้มิได้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์อีกต่อไป พระองค์มิได้ทรงมีส่วนร่วมในสิ่งที่พี่น้องเหล่านี้ที่แบ่งปันในคำพยานทั้งหลายของพวกเขา ภาระใจคือ ผู้เผยพระวจนะและสิ่งที่ท่านได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสนั้นมิได้นำเข้ามาสู่การพิจารณา เรื่องราวของชีวิต, เรื่องราวของการล่าสัตว์, เรื่องราวของเต็นท์, เรื่องราวของเครื่องบิน, และอื่นๆ เป็นพวกเนื้อหาของคำพยานทั้งหลายของพวกเขาและสิ่งที่บราเดอร์บรานฮามได้กล่าวไว้ในฐานะคนๆ หนึ่งถูกประกาศว่าเป็น พระเจ้าตรัสดังนี้ นี่มิใช่ความเบี่ยงเบนที่สมบูรณ์จากพระกิตติคุณอันแท้จริงของพระเยซูคริสต์เจ้าตามที่ อ. เปาโล (กาลาเทีย บทที่ 1) ได้เทศนาเรื่อง การละทิ้งความเศร้าที่นำไปสู่การไหว้รูปเคารพทุกชนิดหรือ?

ตอนนี้หลังจากผ่านไปกว่าสี่สิบปี เรื่องราวชีวิตของท่านกำลังถูกเผยแพร่และเรื่องราวใหม่กำลังเกิดขึ้น พวกเรามีเรื่องราวชีวิตเกี่ยวกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา เกี่ยวกับ    เปโตร หรือ อ. เปาโล หรือไม่? หรือว่าพวกเรามีถ้อยคำแห่งชีวิตที่พระเจ้าตรัสผ่านพวกเขา? วิลเลี่ยม บรานฮาม ได้ทิ้งไว้ให้พวกเราประกาศอย่างชัดเจนว่าได้นำพวกเรากลับไปหาพระเจ้า บราเดอร์บรานฮามมิได้พูดในแง่มุมของมนุษย์ในพระธรรมเทศนาของเขาเองหรือว่า “ถ้ากินเชอร์รี่พายพวกเราแค่เอาเมล็ดทิ้งไว้และกินต่อไปเรื่อยๆ”? ท่านมิได้พูดหรือว่า “การกินไก่พวกคุณแค่วางกระดูกไว้ข้างๆ”? สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นอย่างแม่นยำซึ่งอยู่ข้างจุดนั้นกำลังถูกทำให้เป็นประเด็นหลักทั้งหลาย -“กระดูกทั้งหลาย” ของการต่อสู้กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด วันนี้พวกเราจะต้องถามว่า “คุณเชื่อพระธรรมเทศนาอย่างไหน? คุณเทศนาข่าวประเสริฐอะไร?”

ในปฐมกาลเป็นพระวาทะ มิใช่การตีความ! ในปฐมกาลคือความเป็นหนึ่งเดียวกัน มิใช่หลายฝ่าย! การประนีประนอมหรือการคลุกเคล้ากันเป็นไปไม่ได้ ในปฐมกาลจริงๆ พระเจ้าได้ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด ดังนั้นมันจึงยังคงอยู่ตลอดไป ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงของพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขในฐานะที่เป็นความจริงหนึ่งเดียวที่สมบูรณ์ที่สุดเท่านั้นก็กำลังทรยศต่อความจริงและดังนั้นจึงได้รับการกล่าวโทษให้เชื่อเรื่องโกหกและจะถูกพิพากษา (2 เธสะโลนิกา 2:10-12) ถ้อยแถลงทั่วไปที่ยากลำบากทั้งหมดซึ่งบราเดอร์บรานฮามได้กล่าวไว้และสิ่งที่อ้างถึงพันธกิจของเขาต้องถูกทิ้งไว้กับพระเจ้าด้วยว่า “สิ่งเร้นลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่บรรดาสิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของพวกเรา และของลูกหลานของเราทั้งหลายเป็นนิตย์ …” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29)

พี่น้องทั่วโลกได้แสดงภาระใจของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา ผมไม่ได้เป็นผู้วินิฉัย แต่โดยอาศัยคุณธรรมของพระบัญชาของพระเจ้า ผมอยากจะบอกตำแหน่งของผมอย่างชัดเจน: "สำนักงานใหญ่" ของผมมิได้อยู่บนโลกนี้ มันอยู่ในสวรรค์ และการฟัง “พระสุรเสียงของพระเจ้า” ผ่านทางพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งกำลังถูกประกาศไปทั่วโลก คำตักเตือนต่อไปนี้ยังคงใช้ได้ “วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป!” (ฮีบรู 3) เช่นเดียวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะทุกท่าน, พระเจ้า, และเหล่าอัครสาวกในยุคสมัยของพวกเขามีพันธกิจของพวกเขาในสถานที่ซึ่งแตกต่างกัน ดังนั้นบราเดอร์วิลเลี่ยม บรานฮาม อันเป็นที่รักของพวกเราจึงมีพันธกิจของท่านเป็นสำคัญเช่นกันในคริสตจักรเจฟเฟอร์สันวิลล์ นอกจากนั้นไม่มีผู้ใดต้องเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม แม้กระนั้นพระวจนะยังได้มาถึงจากที่นั่น (อิสยาห์ 2; กิจการ 2)

ผมมีพระธรรมเทศนาทั้งหลายทุกเรื่องก่อนที่บราเดอร์บรานฮามจะได้ถูกวางลงเพื่อการพักผ่อนและได้ครอบครองอาหารฝ่ายวิญญาณอันมีค่าเมื่อหลายปีก่อนที่จะมีการเปิดตัว "วอยซ์ อ๊อฟ ก๊อด เรคคอร์ดดิ้งส์" ในเมืองเจฟเฟอร์สันวิลล์ พระวจนะที่ได้รับการเปิดเผยสำแดงนั้นมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ แต่มันสามารถให้ทุกคนอ่านได้ เท่าที่ผมห่วงใยคือ  ข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดยังคงมีผลตลอดไป ซึ่งรวมถึงคำเตือนว่า "จงแสวงหาเรา และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ แต่อย่าแสวงหาเบธเอล และอย่าเข้าไปในกิลกาล หรือข้ามไปยังเบเออร์เชบา เพราะว่ากิลกาลจะต้องตกไปเป็นเชลยเป็นแน่ และเบธเอลก็จะสูญไป จงแสวงหาพระเยโฮวาห์และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่ …” (อาโมส 5) ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสถานที่พิเศษทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองในวิถีทางที่ไม่ธรรมดา แต่ต่อมาพวกเขาได้ถูกนำไปสู่การทำลายล้างของประชากรของพระเจ้า กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระเจ้าได้ทรงเลือกด้วยพระองค์เองจึงถูกทำลายหลายต่อหลายครั้ง บนภูเขาโมริยาห์ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภูเขาพระวิหาร พวกมุสลิมได้สร้างมัสยิดอัล อักซา และโดม อ๊อฟ เดอะ ร็อค ตราบใดที่พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งผ่านพันธกิจหนึ่ง สถานที่นั้นรับใช้พระประสงค์ของพระเจ้า ทันทีที่พันธกิจนั้นสิ้นสุดลงพื้นที่เหล่านั้นก็กลายเป็นพวกสถานที่แสวงบุญสำหรับความเชื่อโชคลางและการไหว้รูปเคารพอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เหมือนกับยุคสมัยของเฮเซคียาห์ที่พวกคนอิสราเอลได้นมัสการและนำเครื่องบูชามายังงูทองเหลืองที่โมเสสได้สร้างขึ้นนั้น เฮเซคียาห์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะทรงทุบมันเป็นชิ้นๆ (2 พงศ์กษัตริย์ 18:1-8)

ปัจจุบันนี้พระเจ้าจะตรัสกับพวกเราว่า “จงแสวงหาเรา และเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่” พระองค์มิอาจจะตรัสว่า “จงไปที่กรุงเยรูซาเล็มหรือเมืองเจฟเฟอร์สันวิลล์” พระองค์มิอาจจะตรัสว่า “จงไปแสวงบุญที่หลุมฝังศพของผู้เผยพระวจนะ หรือภูเขาซันเซ็ท” เพราะพระองค์ได้ตรัสกับพวกเราทุกคนว่า “… เชื่อเราเถิดเวลามาถึงเมื่อเจ้าจะไม่อยู่ในภูเขานี้หรือในเยรูซาเล็มนมัสการพระบิดา…เวลามาแล้วและตอนนี้เมื่อผู้นมัสการแท้จะนมัสการ พระบิดาในวิญญาณและในความจริง…พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ: และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ... และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง ... พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง!” (ยอห์น 4:19-24) ทุกสิ่งที่พระเจ้าของพวกเราตรัสไว้นั้นยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบันนี้และจะใช้ได้ตลอดไป อาเมน! อาเมน!

ผมรู้จักได้ด้วยว่า บราเดอร์บรานฮามในฐานะที่เป็นมนุษย์ ผมได้รับประทานอาหารกับท่านที่โต๊ะเดียวกัน ได้ขับรถไปกับท่านในรถของท่าน ท่านได้บอกผมถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ผมได้เก็บจดหมายของท่านไว้ 21 ฉบับจากการติดต่อของพวกเราในช่วงปี 1958 ถึง 1965 สองครั้งที่ผมได้เทศนาในคริสตจักรเจฟเฟอร์สันวิลล์ตามคำร้องขอโดยตรงของท่าน ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ขอให้ผมเทศนาแทนท่านให้แก่การสามัคคีธรรมของเหล่านักธุรกิจฟูล ก็อดสเปล ที่ห้องอาหารคลิฟตัน ในกรุงลอส แองเจลีส มีหลายสิ่งซึ่งผมจำได้ด้วยความขอบคุณ ท่านยังบอกผมเกี่ยวกับบราเดอร์คนหนึ่งที่จ่ายหนี้ภาษีรายได้ส่วนที่เหลือจำนวน 40,000 ดอลลาร์ เพื่อให้พาสปอร์ตคืนแก่ท่าน ผมได้ดื่มชาในบ้านของท่าน หลังจากที่ท่านได้กลับบ้านไปในพระสิริ ผมได้รับอนุญาตให้อยู่ในอพาร์ตเมนต์ของท่านหลายครั้งในระหว่างการเยี่ยมเยียนเมืองทูซอนของผม แต่สิ่งส่วนตัวทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคำตักเตือนศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าอย่างไร?

แม้แต่บราเดอร์บรานฮามก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น เมื่อท่านกล่าวว่า 700 แทนที่จะเป็น 7,000 หรือเมื่อท่านกล่าวว่า เอโนคได้เดินไปกับพระเจ้าเป็นเวลา 500 ปี ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกนี้มาเพียงแค่ 365 ปีเท่านั้น แล้วมันก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความลื่นของลิ้นเพียงใด และเมื่อท่านได้กล่าว เช่น “ข้าวสาลีจะถูกเผา” จากนั้นท่านก็แก้ไขตัวเองในทันที “… ข้าวละมานจะถูกเผา แต่ข้าวสาลีจะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉางของสวรรค์” เมื่อท่านกล่าวว่า โนอาห์ได้เทศนาเป็นเวลา 120 ปี จากนั้นท่านก็ทำซ้ำๆ สิ่งที่พวกนักเทศน์คนอื่นได้กล่าวไว้ นั่นคือช่วงเวลาแห่งชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ (ปฐมกาล 6:3) โนอาห์มีอายุ 500 ปี เมื่อบุตรชายทั้งสามของเขาเกิด (ปฐมกาล 5:32) และเขาอายุ 600 ปี เมื่อเกิดน้ำท่วมโลก (ปฐมกาล 7:6)

จริงๆ แล้วมีถ้อยแถลงไม่กี่ข้อที่แสดงให้เห็นว่า แม้ท่านจะเป็นผู้เผยพระวจนะในพันธกิจอันผิดพลาดมิได้ของท่าน ท่านก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา ตัวอย่าง เช่น ในฐานะคนๆ หนึ่งท่านได้กล่าวสิ่งต่อไปนี้ในพระธรรมเทศนาของท่าน “การรับขึ้นไป” อ้างถึง 1 เธสะโลนิกา 4 ซึ่งกล่าวเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซู พระเจ้าของพวกเรา “… สามสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่พระเจ้าพระองค์เองจะทรงปรากฏ … เสียงกู่ก้อง, สำเนียงของเทพบดี, เสียงแตรของพระเจ้า … พระเยซูทรงกระทำทั้งสามสิ่งเมื่อพระเยซูเสด็จลงมา…” บราเดอร์บรานฮาม เห็นได้ชัดว่าได้หมายความว่า: สามสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา “ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะของพระเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้ ด้วยว่าพระเจ้าเอง (มิใช่พระธรรมเทศนา) จะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบพระเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหล่ะเราก็จะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4:15-17) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ในขณะเดียวกัน “ดูก่อน ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเปื่อยเน่า แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่" (1 โครินธ์ 15:51-52) บราเดอร์ บรานฮามได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “มีพระธรรมเทศนามาถึงก่อน ตอนนี้เป็นเวลาตัดแต่งตะเกียง จงลุกขึ้นและตัดแต่งตะเกียงของท่านทั้งหลาย …” นั่นมิใช่ 1 เธสะโลนิกา 4 นั่นคือ มัทธิว 25 “ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” พวกถ้อยแถลงที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่สมบูรณ์นั้นถูกใช้ไปในทางที่ผิดเพราะคำสอนที่ว่าตั้งแต่การเปิดผนึกของตราประทับของพระเยซูได้ทรงออกจากพระที่นั่งกรุณาซึ่งเปลี่ยนไปเป็นพระที่นั่งพิพากษา และอยู่ในขั้นตอนของการเสด็จลงมา ช่างเป็นเหตุผลที่น่าเศร้าและเป็นความคิดนอกรีต!

ควรจัดการกับสิ่งต่างๆ อีกมากมายจริงๆ แต่ผมต้องหยุดที่นี่ตอนนี้ด้วยการประกาศต่อไปนี้: ในช่วงระยะเวลา 14 ปีแรกตั้งแต่ปี 1966 มีความปรองดองอันยอดเยี่ยมภายในการสามัคคีธรรมทั้งหลายของพระธรรมเทศนา ในปี 1979 ซาตานได้พยายามทำลายพระราชกิจของพระเจ้าและสังหารอิทธิพลของพันธกิจนี้ นับจากนั้นเป็นต้นมาพวกคำสอนผิดทั้งหมดและการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งหมดของพวกมันได้เริ่มขึ้น พี่น้องส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเริ่มต้นใหม่เมื่อ 40 ปีก่อนและความต่อเนื่องหลังจากการผ่านไปของบราเดอร์บรานฮามเป็นมาอย่างไร บราเดอร์บรานฮามเห็นว่า เจ้าสาวหลุดออกไปจากการก้าวไป นอกจากนั้นท่านยังได้เห็นว่า เจ้าสาวถูกนำกลับเข้าไปในการก้าวไปกับพระวจนะอีกครั้งหนึ่ง

ตราบใดที่พระธรรมเทศนาทั้งหลายถูกทิ้งไว้ในแบบที่พวกมันเป็น ก็ไม่มีหลายฝ่าย การแยกได้เกิดขึ้นเฉพาะในปี 1980 เท่านั้น หลังจากที่พี่น้องทั้งหลายได้รวบรวมพวกคำอ้างอิง การกล่าวพวกมันออกไปจากบริบท และได้แนะนำพวกหลักคำสอนพิเศษด้วยความคาดหวังทั้งหลายที่ไม่ตรงกับข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระวจนะนำพวกเราไปสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา การตีความนำเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ เมื่อมองดูที่สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราต้องยอมรับว่าไม่มีมนุษย์คนใด นอกจากพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหลายภายในพระธรรมเทศนายุคสุดท้ายได้ พวกเขาทุกคนกล่าวว่า “ผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรมิอาจจะถูกหลอกลวงได้” – แม้ว่าพวกเขาได้หลอกลวงตัวของพวกเขาเองและกำลังหลอกลวงผู้อื่นอยู่ การหลอกลวงไม่เคยมาจากภายนอก แต่มาจากภายใน (กิจการ 20:30) และมันใกล้เคียงกับต้นฉบับอย่างน่าอัศจรรย์ พวกหลักคำสอนพิเศษกำลังถูกเรียกว่า การเปิดเผยสำแดงทั้งหลาย แต่พวกมันไม่ได้รับการยืนยันจากพระวจนะที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร พวกเราพบซ้ำซากอย่างน่าอนาถท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนิกายทั้งหมดซึ่งชี้ไปที่ "ผู้เผยพระวจนะ" หรือ "ผู้เผยพระวจนะหญิง" หรือผู้ก่อตั้งของพวกเขา คำสารภาพของพวกเขาคือ “พวกเราเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลและผู้เผยพระวจนะของพวกเรา!”

ผมกล่าวเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า: จุดยืนที่ถูกต้องคือ การเคารพพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความถูกต้องของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกับทุกนิกายที่เข้าใจผิดและตีความข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวที่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา และครั้นเมื่อพวกเขาสร้างคริสตจักรและนิกายของพวกเขาแล้ว สิ่งเดียวกันก็ได้เกิดขึ้นภายในพระธรรมเทศนาด้วยวิวรณ์ บทที่ 10 คำสอนผิดทุกคำสอนภายในพระธรรมเทศนา ณ เวลานี้ มาถึงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพราะวิวรณ์ บทที่10 ถูกเข้าใจผิด ถูกตีความผิด ถูกนำออกจากบริบท และถูกวางไว้อย่างไม่ถูกต้อง

บราเดอร์บรานฮามได้แนะนำพวกเราอีกครั้งหนึ่งสำหรับคำสอนพื้นฐานทั้งหลายของข้อพระคัมภีร์ทั้งหลาย พวกมันสอดคล้องกับพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ พวกเราไม่เชื่ออย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่พวกเราค้นหาพระคัมภีร์ทั้งหลายเพื่อตรวจสอบว่า สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนั้นหรือไม่ (กิจการ 17:11) พวกเราต้องวาง       บราเดอร์บรานฮามไว้อย่างถูกต้องตามมาลาคี บทที่ 4 ในฐานะผู้เผยพระวจนะที่ได้ทรงสัญญาไว้ ท่านเป็นผู้ส่งสาส์นสำหรับคริสตจักรยุคสุดท้าย อาเมน

มันเป็นความปรารถนาของผมที่จะรับใช้พระเจ้าในวิถีทางที่ทุกคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเจ้าสาวของพระเยซูคริสต์ถูกนำเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันของความเชื่อ สี่สิบปีผ่านมาตั้งแต่บราเดอร์บรานฮามได้ถูกรับไปสู่พระสิริและตอนนี้พวกเราคาดหวังว่า จะมีการเปลี่ยนแปลง – พร้อมกับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เคยแม้แต่เกิดขึ้นแล้วบนแผ่นดินโลก

โยบเป็นตัวอย่างสำหรับพวกเราในพระคัมภีร์ไบเบิล - เขาได้อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งเขาได้รับสองเท่าจากทั้งหมดที่เขาเคยมี ซาตานได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา แม้แต่ภรรยาของเขาก็ต่อต้านเขาและกล่าวว่า “ท่านยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของท่านหรือ จงแช่งสาปพระเจ้าและตายเสียเถิด” (2:9) เพื่อนสนิททั้งหลายของเขาก็กระหนาบเขาและไม่เชื่อเขา แต่เมื่อถึงเวลานั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโยบด้วยพระองค์เองและนั่นก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมด โยบได้อธิษฐานเผื่อเพื่อนๆ ของเขาและได้รับเป็นสองเท่าจากที่เขาเคยมีมาก่อน (โยบ 42:10-17) ประสบการณ์นี้ถูกทิ้งไว้ให้พวกเราในฐานะพระสัญญาเกี่ยวกับฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูและพระราชกิจสุดท้ายของพระเจ้าก่อนการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ในขณะที่โยบได้รับคำตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นาง งานและเพื่อนๆ ของเขาได้กล่าวไว้ก็ถูกลืมไป นั่นคือวิธีที่มันจะเป็นในกรณีของพวกเราด้วยเช่นกัน “เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ... ท่านได้ยินเกี่ยวกับความอดทนของโยบ …” (ยากอบ 5:7-11)

ตัวอย่างที่สองคือ โยเซฟ ผู้ที่ถูกโยนลงไปในหลุมโดยพี่น้องของเขาเองและถูกขังอย่างไม่เป็นธรรมเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง – นั่นคือ หุบเขาทั้งหลายที่เขาต้องผ่านก่อนที่เขาจะแจกจ่ายอาหารให้กับพี่น้องของเขาในช่วงเวลาของการกันดารอาหารได้ เขามิเคยได้กล่าวหาพวกเขาเลย ในทางตรงกันข้ามเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอให้ท่านเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” และพวกเขาก็เข้ามาใกล้ และท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าคือโยเซฟน้องชายของพวกพี่ ที่พวกพี่ขายมายังอียิปต์ อย่าโกรธตัวเองที่พวกพี่ขายข้าพเจ้ามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าให้มาก่อนหน้าพวกพี่เพื่อจะได้รักษาชีวิตไว้ … เพราะฉะนั้น บัดนี้มิใช่พวกพี่เป็นผู้ส่งให้ข้าพเจ้ามาที่นี่ แต่พระเจ้าเอง …” (ปฐมกาล 45)

ถ้ามันมิได้เคยเป็นมาแล้วสำหรับโยบ พวกเราคงไม่เคยรู้จักเกี่ยวกับเรื่อง การฟื้นฟูสองเท่า ถ้าหากไม่มีโยเซฟ พวกเราคงไม่มีตัวอย่างสำหรับการแจกจ่ายอาหารในช่วงเวลาของการกันดารอาหาร ถ้าหากพันธกิจของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมามิได้เกิดขึ้น หนทางของพระเจ้าก็คงมิอาจจะถูกตระเตรียมได้ ถ้าหากไม่มีอัครสาวกเปาโล พวกคนต่างชาติคงจะมิเคยได้ยินข่าวประเสริฐ ถ้าหากไม่มีพันธกิจ วิลเลี่ยม บรานฮาม พวกเราก็คงจะไม่มีพระธรรมเทศนายุคสุดท้าย และคนบางคนกล่าวว่า ถ้าหากบราเดอร์แฟรงก์ไม่ได้รับพระบัญชาโดยตรง โลกก็คงจะมิเคยได้รู้เกี่ยวกับพระธรรมเทศนานี้เลย ในกรณีเหล่านี้ทั้งหมดพวกเรามิได้เกี่ยวข้องกับพันธกิจทั้งหลายในคริสตจักรท้องถิ่น แต่เป็นพันธกิจทั้งหลายที่ได้รับการเชื่อมโยงโดยตรงกับการตระหนักถึงแผนการณ์แห่งความรอดของพระเจ้า

ตามข้อพระคัมภีร์ที่ยกมาตอนต้นของแผ่นพับนี้ ผมได้เขียนคำอธิบายนี้ด้วยมโนธรรมอันดี ผมขอแสดงปรารถนาอย่างจริงใจว่า ทุกคนจะปลดปล่อยตัวของพวกเขาเองจากบ่วงของพวกวิญญาณชั่วได้และไม่ถูกกักขังอยู่ในการตีความทั้งหลายเพื่อทำตามความประสงค์ของเขาอีกต่อไป ในฐานะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็น        พระวิญญาณแห่งความจริงและทรงนำพวกเราไปสู่ความจริงทั้งหมด (ยอห์น 16:13) แน่นอนว่ามีพวกวิญญาณล่อลวงในหลักคำสอนนอกรีตทั้งหมดซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพวกวิญญาณชั่ว (1 ทิโมธี 4:1) งานเฉลิมฉลองได้มาถึงและเสรีภาพของพระเจ้ากำลังประกาศให้แก่ทุกคน (ลูกา 4:17-21) ทุกคนสามารถกลับมาหาพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์และรับพระสัญญาตามน้ำพระทัยของพระเจ้า (ฮีบรู 10:35-38)

โดยพระคุณของพระเจ้าผมจะต้องแบกกางเขนของผม - แต่ไม่ต้องรับน้ำหนักจากพวกความเข้าใจผิดและการตีความผิดทั้งหลายอีกต่อไป - จนกว่าผมจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ผมจะต้องทนรับการติเตียนของพระคริสต์ การติเตียนของบราเดอร์บรานฮาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตำหนิของตัวของผมเองจนกว่าผมจะไปถึงพระสิริ มันมิได้ถูกมอบไว้ให้แก่ผมที่จะมีชีวิตอยู่เหนือการติเตียนเช่นเดียวกับกรณีของเหล่าผู้รับใช้ส่วนใหญ่ของพระเจ้า นั่นยังเพิ่มความปรารถนาของผมที่จะรับใช้ประชากรของพระเจ้าด้วยการประกาศคำตักเตือนอันผิดพลาดมิได้ทั้งหมดของพระเจ้า ขอพระเจ้าประทานจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของผม ดั่งที่พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของผมตรัสด้วยพระองค์เองว่า “… เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 18:37) ผมอาจจะพูดสิ่งนี้ได้เหมือนผู้รับใช้ที่แท้จริงทุกคนของพระเจ้าอาจจะกล่าวได้ว่า “ผมบังเกิดใหม่โดยพระวจนะเดียวกันและพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน ต่อความหวังที่ดำรงอยู่ว่าจะเป็นพยานเกี่ยวกับความจริง” ผมอาจจะกล่าวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างที่อัครสาวกยอห์นได้ทำแล้วได้ เพราะคำมุสามิได้มาจากความจริง (1 ยอห์น 2:21) และนั่น “… ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา …” (1 ยอห์น 4:6) “ … ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า …” (ยอห์น 8:47) ในปฐมกาลทรงเป็นพระวาทะ – พระวาทะเดียวกันทรงเป็นตอนนี้ ที่ตอนท้าย การตีความทุกอย่างเป็นภาพลวงตาอันเป็นพิษของพวกวิญญาณชั่วซึ่งมักจะแสดงออกว่าตนเองเป็นทูตแห่งความสว่าง

สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ที่จะทรงกระทำจะเกิดขึ้นกับคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ทั่วโลก: นางจะออกมาจัดเตรียมเพื่อจะพบกับเจ้าบ่าวเมื่อพระองค์เสด็จมา ผมอ้างต่อพระเจ้าว่า จิตวิญญาณทุกดวงที่ได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วจะเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ และเรียกผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรให้ออกมาจากความสับสนทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และเข้ามาในความเป็นหนึ่งเดียวกันของความเชื่อ ผมขอประกาศว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะกักขังพวกเขาไว้ในค่ายต่างๆ อีกต่อไปและทำให้พวกเขาตกเป็นทาสเพื่อจะเชื่อในการตีความต่างๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีอิสระที่จะเชื่อในสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ทั้งหลายกล่าวเท่านั้น อาเมน!

“และพระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ...

พระองค์ผู้ทรงเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ ตรัสว่า “แน่นอน เราจะมาโดยเร็ว” อาเมน  พระเยซูเจ้า ขอให้เป็นเช่นนั้น เชิญเสด็จมาเถิด” (วิวรณ์ 22:17-21)