ผู้คนถามคำถาม, พระเจ้าทรงตอบด้วยพระวจนะของพระองค์
คำถามที่ 9: ท่านเชื่อว่า วิวรณ์ 10: 1-7 สำเร็จแล้วในปี 1963 หรือไม่?
Font Face
Line Height
Paragraph Gap
Font Size
คำตอบ: วิวรณ์ บทที่ 10 ยังไม่สำเร็จ ดั่งที่พวกเราได้เห็น มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคริสตจักรเลย บราเดอร์บรานฮามเป็นผู้ส่งสาส์นสำหรับคริสตจักรยุคสุดท้าย (วิวรณ์ 3:14-22) มิใช่ทูตสวรรค์เป่าแตรองค์ที่เจ็ด ท่านได้อ้างถึงวิวรณ์ บทที่ 10 เพราะว่ามันเป็นข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ด แต่พวกเราตระหนักว่า ลักษณะการเผยพระวจนะของสองเหตุการณ์พิเศษซึ่งถึงกระนั้นยังคงแยกจากกันและกัน ตัวอย่าง เช่น มัทธิวได้แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองของโฮเชยา 11:1 ในบทที่ 2 ข้อ 15 เมื่อกล่าวถึงพระเยซู “‘เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์ …” แต่นั่นมิได้ทำให้เป็นโมฆะ อพยพ 4: 22-23,“คนอิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา คือเป็นบุตรหัวปีของเรา … จงปล่อยบุตรชายของเราไป เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา …” ข้อพระคัมภีร์คำเผยพระวจนะอนุญาตให้มีการประยุกต์ใช้คู่กันได้ แต่ทุกครั้งจะต้องถูกทิ้งไว้ในบริบทที่มันเป็นตามแผนการณ์แห่งความรอด การตอบสนองที่เกิดขึ้นจริงของวิวรณ์ บทที่ 10 นั้นได้กล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ดั่งที่พวกเราเห็นได้จากพวกข้อความต่อไปนี้ซึ่งเป็นพยานถึงเหตุการณ์พิเศษนั้น พวกเราได้รับการแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่เป็นของพระเจ้านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกค้นพบได้มากกว่าหนึ่งข้อพระคัมภีร์
คำสำคัญคำแรกคือ "คำราม"
“ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม!” (วิวรณ์ 10:3)
“… พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากที่สูง และจากที่พำนักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามมากมาย…” (เยเรมีห์ 25:30)
“เขาทั้งหลายจะติดตามพระเยโฮวาห์ไป พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามเหมือนสิงโต เมื่อพระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำราม ขณะนั้นบุตรทั้งหลายของพระองค์จะตัวสั่นสะท้านมาจากทิศตะวันตก” (โฮเชยา 11:10)
“พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน ทรงเปล่งพระ สุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม และฟ้าสวรรค์กับพิภพก็จะหวั่นไหว แต่พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความหวังแห่งประชาชนของพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของชนชาติอิสราเอล” (โยเอล 3:16)
“… พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน และจะทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม …” (อาโมส 1: 2)
คำสำคัญคำต่อไปคือ “ปฏิญาณ”
“และฝ่ายทูตสวรรค์องค์ที่ข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้นได้ชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดินโลกนั้น และทรงสร้างทะเล กับสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในทะเลนั้น ว่า จะไม่มีการเนิ่นช้าอีกต่อไปแล้ว” (วิวรณ์ 10: 6)
“… ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายแห่งแม่น้ำนั้น ได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ…” (ดาเนียล 12: 7) มิอาจจะระบุเพิ่มเติมได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมีเพียงสามปีครึ่งที่เหลือจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาสุดท้าย มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน!
เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมาในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาพระองค์จะทรงวางพระบาทขวาของพระองค์ไว้บนทะเลและพระบาทซ้ายของพระองค์บนโลกเพื่อจะทรงปักเขตคำกล่าวอ้างของพระองค์ในฐานะเจ้าของดั้งเดิม ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดจะเปล่งเสียงของพวกมัน พวกเราต้องยอมรับว่าข้อพระคัมภีร์ทุกข้อจะต้องเกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงส่วนที่สองของมาลาคี 3:1-2 เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นในการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ ดังนั้นจึงมิเคยได้ถูกกล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่ ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญนี้เกิดขึ้นมันจะเกิดสัมฤทธิ์ผล “… พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ... และองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้น จะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญา ผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูเถิด ท่านจะเสด็จมา แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา? และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว? เพราะว่าท่านเป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจสบู่ของช่างซักฟอก” การเสด็จมาในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาซึ่งอธิบายไว้อย่างละเอียดในข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้นต้องถูกวางไว้ตรงจุดที่พระคัมภีร์ไบเบิลวางมันไว้-กับพวกคนอิสราเอล เพราะในเวลานั้นวิหารจะถูกสร้างขึ้นใหม่และวัดได้ตามวิวรณ์ 11:1-2 ซึ่งผู้ส่งสาส์นแห่งพันธสัญญา ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งเจ้าทั้งหลายจะเสด็จมา อาเมน
คำตอบ: วิวรณ์ บทที่ 10 ยังไม่สำเร็จ ดั่งที่พวกเราได้เห็น มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคริสตจักรเลย บราเดอร์บรานฮามเป็นผู้ส่งสาส์นสำหรับคริสตจักรยุคสุดท้าย (วิวรณ์ 3:14-22) มิใช่ทูตสวรรค์เป่าแตรองค์ที่เจ็ด ท่านได้อ้างถึงวิวรณ์ บทที่ 10 เพราะว่ามันเป็นข้อพระคัมภีร์เพียงข้อเดียวเท่านั้นที่กล่าวถึงเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ด แต่พวกเราตระหนักว่า ลักษณะการเผยพระวจนะของสองเหตุการณ์พิเศษซึ่งถึงกระนั้นยังคงแยกจากกันและกัน ตัวอย่าง เช่น มัทธิวได้แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองของโฮเชยา 11:1 ในบทที่ 2 ข้อ 15 เมื่อกล่าวถึงพระเยซู “‘เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์ …” แต่นั่นมิได้ทำให้เป็นโมฆะ อพยพ 4: 22-23,“คนอิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา คือเป็นบุตรหัวปีของเรา … จงปล่อยบุตรชายของเราไป เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา …” ข้อพระคัมภีร์คำเผยพระวจนะอนุญาตให้มีการประยุกต์ใช้คู่กันได้ แต่ทุกครั้งจะต้องถูกทิ้งไว้ในบริบทที่มันเป็นตามแผนการณ์แห่งความรอด การตอบสนองที่เกิดขึ้นจริงของวิวรณ์ บทที่ 10 นั้นได้กล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ดั่งที่พวกเราเห็นได้จากพวกข้อความต่อไปนี้ซึ่งเป็นพยานถึงเหตุการณ์พิเศษนั้น พวกเราได้รับการแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่เป็นของพระเจ้านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกค้นพบได้มากกว่าหนึ่งข้อพระคัมภีร์
คำสำคัญคำแรกคือ "คำราม"
“ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม!” (วิวรณ์ 10:3)
“… พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากที่สูง และจากที่พำนักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามมากมาย…” (เยเรมีห์ 25:30)
“เขาทั้งหลายจะติดตามพระเยโฮวาห์ไป พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามเหมือนสิงโต เมื่อพระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำราม ขณะนั้นบุตรทั้งหลายของพระองค์จะตัวสั่นสะท้านมาจากทิศตะวันตก” (โฮเชยา 11:10)
“พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน ทรงเปล่งพระ สุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม และฟ้าสวรรค์กับพิภพก็จะหวั่นไหว แต่พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความหวังแห่งประชาชนของพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของชนชาติอิสราเอล” (โยเอล 3:16)
“… พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน และจะทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม …” (อาโมส 1: 2)
คำสำคัญคำต่อไปคือ “ปฏิญาณ”
“และฝ่ายทูตสวรรค์องค์ที่ข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้นได้ชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดินโลกนั้น และทรงสร้างทะเล กับสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในทะเลนั้น ว่า จะไม่มีการเนิ่นช้าอีกต่อไปแล้ว” (วิวรณ์ 10: 6)
“… ชายที่สวมเสื้อผ้าป่านผู้ซึ่งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายแห่งแม่น้ำนั้น ได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ…” (ดาเนียล 12: 7) มิอาจจะระบุเพิ่มเติมได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมีเพียงสามปีครึ่งที่เหลือจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาสุดท้าย มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน!
เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมาในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาพระองค์จะทรงวางพระบาทขวาของพระองค์ไว้บนทะเลและพระบาทซ้ายของพระองค์บนโลกเพื่อจะทรงปักเขตคำกล่าวอ้างของพระองค์ในฐานะเจ้าของดั้งเดิม ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดจะเปล่งเสียงของพวกมัน พวกเราต้องยอมรับว่าข้อพระคัมภีร์ทุกข้อจะต้องเกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึงส่วนที่สองของมาลาคี 3:1-2 เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นในการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ ดังนั้นจึงมิเคยได้ถูกกล่าวถึงในพันธสัญญาใหม่ ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญนี้เกิดขึ้นมันจะเกิดสัมฤทธิ์ผล “… พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า ... และองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้น จะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญา ผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูเถิด ท่านจะเสด็จมา แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา? และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว? เพราะว่าท่านเป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจสบู่ของช่างซักฟอก” การเสด็จมาในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาซึ่งอธิบายไว้อย่างละเอียดในข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้นต้องถูกวางไว้ตรงจุดที่พระคัมภีร์ไบเบิลวางมันไว้-กับพวกคนอิสราเอล เพราะในเวลานั้นวิหารจะถูกสร้างขึ้นใหม่และวัดได้ตามวิวรณ์ 11:1-2 ซึ่งผู้ส่งสาส์นแห่งพันธสัญญา ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งเจ้าทั้งหลายจะเสด็จมา อาเมน