การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
“ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ … และไม่ใช่สรรพสิ่งทั้งปวงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับผลแรกของพระวิญญาณ ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยจะเป็นอย่างบุตร คือที่จะทรงไถ่กายของเราทั้งหลายไว้” (โรม 8: 19+23)
ตามที่กล่าวไว้ในปฐมกาล 1: 27 “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ในแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างเขาขึ้น” การทรงสร้างนี้อยู่ในร่างกายฝ่ายวิญญาณ ต่อมาพระบิดาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์จากแผ่นดินโลก “และพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน…” (ปฐมกาล 2: 7) มันอยู่ในร่างกายแห่งเนื้อหนังที่มนุษย์ล้มลง ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณจึงต้องทรงกลายเป็นมนุษย์ในพระบุตรเพื่อจะไถ่พวกเราจากกายแห่งความตายนี้ และรื้อฟื้นพวกเราให้กลับคืนมาเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้าเพื่อการเข้าไปในสามัคคีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์กับพระองค์ ในที่สุดพวกเราก็จะอยู่ในพระฉายของพระองค์ในกายฝ่ายวิญญาณ “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายของพระบุตรของพระองค์ด้วย” (โรม 8: 29)
“มนุษย์เดิมนั้นกำเนิดจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์ที่สองเป็นพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทุกคนก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์ผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์ด้วย” (1 โครินธ์ 15: 47-49)
ผู้เชื่อแท้เหล่านั้นกำลังรอคอยที่จะมีส่วนในการฟื้นคืนชีพครั้งแรกในการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และการถูกรับจากโลกนี้ไปสู่พระสิริ
“เหตุว่าเราทั้งหลายรอดได้เพราะความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้หาได้เป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น" (โรม 8: 24) โดยเพียงครั้งเดียวและเพื่อการงานที่สำเร็จทั้งหมดของการไถ่บนไม้กางเขนแห่งโกละโกธา พวกเราถูกนำกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นมาก่อนการล้มลง พวกเราได้รับการไถ่โดยสมบูรณ์แล้วและกำลังรอการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่
อ. เปาโล แสดงออกถึงความปรารถนาของท่านที่จะมีส่วนร่วมในการฟื้นคืนชีพด้วยสิทธิพิเศษนี้ในข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ว่า “เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์ และฤทธิ์เดชแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ ถ้าโดยวิธีหนึ่งวิธีใดข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย” (ฟิลิปปี 3: 10-11)
มันเป็นเช่นเดียวกันแน่นอนว่า กายฝ่ายโลกถูกนำไปยังหลุมฝังศพ ในวิธีการเดียวกันกับที่พวกเรามั่นใจว่ากายฝ่ายวิญญาณจะได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผู้เชื่อแท้ที่เป็นอยู่ ณ เวลาของการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับกายที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ “ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3: 2)
พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนและทรงถูกฝังแล้ว ได้ทรงฟื้นขึ้นมาด้วยพระกายในวันที่สาม หลังจากนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่กับเหล่าสาวกของพระองค์เป็นเวลาสี่สิบวัน ทรงสอนสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ได้เสวยพระกระยาหารกับพวกเขาและได้ทรงสามัคคีธรรมกับพวกเขา (ลูกา 24: 36-49; กิจการ 1: 3) “และพระองค์จึงพาเขาออกไปถึงหมู่บ้านเบธานี แล้วทรงยกพระหัตถ์ อวยพรเขา ต่อมาเมื่อทรงอวยพรอยู่นั้น พระองค์จึงไปจากเขา แล้วทรงถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์” (ลูกา 24: 50-51) “เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา สองคนนั้นกล่าวว่า ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” (กิจการ 1: 9-11)
ดังที่กล่าวมาแล้ว การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์จะเป็นความจริง มิใช่ความเพ้อฝันทางศาสนา แต่เป็นความจริงซึ่งโต้แย้งมิได้ด้วยพวกเครื่องหมายที่มองเห็นได้ซึ่งจะมาพร้อมกับเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในตอนยุคสุดท้ายแห่งพระคุณ สิ่งที่พวกเราอ่านในลูกา 17: 34-36 จะกลายเป็นความจริงที่ขมขื่นแก่คนเป็นจำนวนมาก “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง”
“ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ … และไม่ใช่สรรพสิ่งทั้งปวงเท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับผลแรกของพระวิญญาณ ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยจะเป็นอย่างบุตร* คือที่จะทรงไถ่กายของเราทั้งหลายไว้”* (โรม 8: 19+23)
ตามที่กล่าวไว้ในปฐมกาล 1: 27 “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ในแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างเขาขึ้น” การทรงสร้างนี้อยู่ในร่างกายฝ่ายวิญญาณ ต่อมาพระบิดาเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์จากแผ่นดินโลก “และพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน…” (ปฐมกาล 2: 7) มันอยู่ในร่างกายแห่งเนื้อหนังที่มนุษย์ล้มลง ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณจึงต้องทรงกลายเป็นมนุษย์ในพระบุตรเพื่อจะไถ่พวกเราจากกายแห่งความตายนี้ และรื้อฟื้นพวกเราให้กลับคืนมาเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้าเพื่อการเข้าไปในสามัคคีธรรมอันศักดิ์สิทธิ์กับพระองค์ ในที่สุดพวกเราก็จะอยู่ในพระฉายของพระองค์ในกายฝ่ายวิญญาณ “เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายของพระบุตรของพระองค์ด้วย” (โรม 8: 29)
“มนุษย์เดิมนั้นกำเนิดจากดินและเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์ที่สองเป็นพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์ มนุษย์ดินผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทุกคนก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์ผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์ด้วย” (1 โครินธ์ 15: 47-49)
ผู้เชื่อแท้เหล่านั้นกำลังรอคอยที่จะมีส่วนในการฟื้นคืนชีพครั้งแรกในการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และการถูกรับจากโลกนี้ไปสู่พระสิริ
“เหตุว่าเราทั้งหลายรอดได้เพราะความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้หาได้เป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น" (โรม 8: 24) โดยเพียงครั้งเดียวและเพื่อการงานที่สำเร็จทั้งหมดของการไถ่บนไม้กางเขนแห่งโกละโกธา พวกเราถูกนำกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นมาก่อนการล้มลง พวกเราได้รับการไถ่โดยสมบูรณ์แล้วและกำลังรอการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่
อ. เปาโล แสดงออกถึงความปรารถนาของท่านที่จะมีส่วนร่วมในการฟื้นคืนชีพด้วยสิทธิพิเศษนี้ในข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ว่า “เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์ และฤทธิ์เดชแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ ถ้าโดยวิธีหนึ่งวิธีใดข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย” (ฟิลิปปี 3: 10-11)
มันเป็นเช่นเดียวกันแน่นอนว่า กายฝ่ายโลกถูกนำไปยังหลุมฝังศพ ในวิธีการเดียวกันกับที่พวกเรามั่นใจว่ากายฝ่ายวิญญาณจะได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผู้เชื่อแท้ที่เป็นอยู่ ณ เวลาของการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับกายที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ “ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”(1 ยอห์น 3: 2)
พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนและทรงถูกฝังแล้ว ได้ทรงฟื้นขึ้นมาด้วยพระกายในวันที่สาม หลังจากนั้นพระองค์ได้ประทับอยู่กับเหล่าสาวกของพระองค์เป็นเวลาสี่สิบวัน ทรงสอนสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ได้เสวยพระกระยาหารกับพวกเขาและได้ทรงสามัคคีธรรมกับพวกเขา (ลูกา 24: 36-49; กิจการ 1: 3) “และพระองค์จึงพาเขาออกไปถึงหมู่บ้านเบธานี แล้วทรงยกพระหัตถ์ อวยพรเขา ต่อมาเมื่อทรงอวยพรอยู่นั้น พระองค์จึงไปจากเขา แล้วทรงถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์” (ลูกา 24: 50-51) “เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้าเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา สองคนนั้นกล่าวว่า ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์? *พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น*” (กิจการ 1: 9-11)
ดังที่กล่าวมาแล้ว การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์จะเป็นความจริง มิใช่ความเพ้อฝันทางศาสนา แต่เป็นความจริงซึ่งโต้แย้งมิได้ด้วยพวกเครื่องหมายที่มองเห็นได้ซึ่งจะมาพร้อมกับเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในตอนยุคสุดท้ายแห่งพระคุณ สิ่งที่พวกเราอ่านในลูกา 17: 34-36 จะกลายเป็นความจริงที่ขมขื่นแก่คนเป็นจำนวนมาก “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่ง จะทรงละคนหนึ่ง”