การเสด็จกลับมาของพระคริสต์

มันจะเกิดขึ้นจริง

« »

การอ้างอิงพระคัมภีร์ไบเบิลหลายรายการนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงความสำคัญของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่นานนักหลังจากการจากไปของเหล่าอัครสาวกแล้ว คนทั้งหลายได้ฟื้นขึ้นผู้ที่เป็นฝ่ายวิญญาณในการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ คนทั้งหลายตาย แต่วิญญาณทั้งหลายไม่ พวกเขาครอบงำพวกคนเหล่านั้นที่พร้อมจะเผยแพร่พวกหลักคำสอนที่ผิด ทฤษฎีขององค์กรที่อ้างว่า อาณาจักรของพระเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วและได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้วในโลกนี้ในปี 1914 เป็นที่รู้จักกันทั่วไป พวกการเรียนการสอนที่คล้ายกันในความเกี่ยวข้องกับการตั้งค่าของวันทั้งหลายที่อยู่ในการแพร่หลายก่อนและหลังเวลานี้ อีกครั้งหนึ่งวลีที่กล่าวว่า “การปรากฏ (Parousia) ของพระคริสต์” อยู่ในการใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน พวกคนเหล่านั้นที่สอนเรื่อง “หลักคำสอนการปรากฏ (Parousia)” ยืนยันว่า พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้วและเวลานี้พระองค์ทรงกำลังพิพากษาและอื่นๆ อยู่ อีกครั้งหนึ่งการเสด็จกลับมาที่แท้จริงของพระคริสต์คือ การเป็นฝ่ายวิญญาณ และพวกคนเหล่านั้นที่ทำสิ่งนี้พูดเกี่ยวกับการเปิดเผยพิเศษ, ความเชื่อพิเศษ, พิเศษอย่างนี้ และพิเศษอย่างนั้น และกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักโดยกลุ่มพิเศษเท่านั้น การอ้างสิทธิ์แบบเดียวกันทุกครั้ง การเทศนากำลังดำเนินไปด้วยความกระตือรือร้น และคนทั้งหลายก็ไม่ได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้วพวกเขาถูกพรากไปจากความจริง และถูกปล้นความหวังแห่งพระสิริ

การยืนยันดังกล่าวอาจฟังดูเคร่งศาสนาอย่างมาก แต่พวกมันผิดและทำให้เข้าใจผิด คำว่า "การปรากฏของพระเยซูคริสต์ (parousia)" ในภาษากรีกนั้นหมายถึง "การปรากฏ (presence)" ซึ่งมักจำเป็นต้องมีการปรากฏส่วนพระองค์หรือการเสด็จมาเสมอ การปรากฏ (Para-ousia) หมายถึง "การปรากฏของตัวตน (present substance)" ตัวอย่างเช่น ถ้าหากประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ทำเนียบขาว นั่นคือ การปรากฏตัว การปรากฏตัวไม่ใช่ความเพ้อฝัน; การปรากฏตัวที่เกิดขึ้นจริงมีอยู่เฉพาะหลังจากที่การมาถึงด้วยกายของบุคคลคนนั้นและสามารถมองเห็นได้ ดังนั้นจึงไม่มีการปรากฏพระองค์ของพระคริสต์ได้ถ้าหากปราศจากการเสด็จมาของพระองค์เป็นการส่วนพระองค์ หลักคำสอนดังกล่าวจึงไร้สาระ เมื่อการปรากฏพระองค์ครั้งแรกของพระองค์หรือ "การสำแดงของพระเยซูคริสต์" (การปรากฏพระองค์เมื่อการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์) เป็นความจริงและเป็นจริงในทางเดียวกัน การเสด็จมาของพระองค์โดยพระกายส่วนพระองค์ หลักคำสอนเกี่ยวกับการปรากฏของพระคริสต์โดยปราศจากการปรากฏส่วนพระองค์ของพระคริสต์จึงไม่เป็นไปตามหลักตรรกวิทยาและไม่มีรากฐานเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล

การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นจินตนาการหรือหลักคำสอน แต่เป็นความจริง อ. เปาโล เขียนว่า “ดูก่อน ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด” (1 โครินธ์ 15: 51) ทุกคนสามารถอ่านได้ในมัทธิว บทที่ 17 จากข้อ 2 ความหมายของการเปลี่ยนแปลงใหม่ หรือการจำแลงพระกาย และวิธีการที่เกิดขึ้น:“แล้วพระกายของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง” ยอห์นเห็นพระเจ้าของพวกเราด้วยโฉมพระพักตร์ท่าทางแบบเดียวกันบนเกาะปัทมอส “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวดุจขนแกะสีขาว และขาวดุจหิมะ และพระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง" (วิวรณ์ 1: 12-18)

การจำแลงพระกายนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่อง “สิ่งซึ่งเปื่อยเน่านี้ต้องสวมซึ่งไม่เปื่อยเน่า และซึ่งจะตายนี้ต้องสวมซึ่งจะไม่รู้ตาย” (1 โครินธ์ 15: 53) ในความสำเร็จบริบูรณ์และความสมบูรณ์แบบนี้จะไม่มีวัยชรา แต่จะเป็นวัยหนุ่มนิรันดร์กาล ในโยบ 33: 23-28 พวกเราพบว่าความคิดซึ่งแสดงออกว่า พวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อเราจะเป็นวัยหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง พวกเราอ่านเกี่ยวกับการลบมลทินและผู้อธิษฐานวิงวอนที่นั่นว่า: “คนกลางผู้หนึ่งในท่ามกลางหนึ่งพันคน” จากนั้นในข้อ 24 อธิบายถึงค่าไถ่ที่พบแล้ว ในข้อ 25 กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการทรงเลือกจะกลับไปสู่วันเวลาแห่งวัยหนุ่มของพวกเขา ในข้อที่ 26 กล่าวว่า พวกเขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยพวกเขา ใช่แล้วครับ พวกเราจะถูกนำกลับไปสู่จุดสูงสุดของวัยหนุ่มในกายของการฟื้นคืนชีพ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น “ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเปื่อยเน่า แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่” (1 โครินธ์ 15: 52)

เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นเพียงเท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงผู้ที่ไปก่อนพวกเราด้วยความหวังแห่งพระสิรินี้ โยบได้แสดงการฟื้นคืนชีพด้วยความเชื่อด้วยเช่นกันและได้กล่าวว่า “เพราะข้าทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในวาระข้างหน้าพระองค์จะทรงประทับยืนบนแผ่นดินโลก และถึงแม้ว่า หลังจากตัวหนอนแห่งผิวหนังของข้าทำลายร่างกายนี้แล้ว กระนั้นในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า” (โยบ 19: 25–26)

เมื่อการเสด็จกลับมาของพระเจ้าของพวกเรา คนทั้งหลายเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปในพระคริสต์จะได้รับร่างกายของการฟื้นคืนชีพตามที่เขียนไว้ว่า “การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเปื่อยเน่า สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเปื่อยเน่า สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีสง่าราศี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีอำนาจ สิ่งที่หว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ กายธรรมดามี และกายวิญญาณก็มี” (1 โครินธ์ 15 : 42-44)

“เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย" (1 เธสะโลนิกา 4: 14) ผู้ใดก็ตามที่สอนว่า พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้ว ต้องบอกพวกเราได้ถึงสถานที่ซึ่งคนทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงนำมากับพระองค์ ประการที่สอง คำสอนดังกล่าวทำให้ผู้ที่ยังเป็นอยู่มีความได้เปรียบโดยตรงเมื่อเปรียบเทียบกับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปและสิ่งนี้จะขัดแย้งกับถ้อยแถลงที่ชัดเจนของข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย: “ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะของพระเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงพระเจ้าเสด็จมา จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้ ด้วยว่าพระเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบพระเจ้าในฟ้าอากาศ” (1 เธสะโลนิกา 4: 15-17)

สังเกตไหมครับว่า พระเจ้ามิได้เสด็จกลับมาเพื่อชาวโลก แต่เพื่อบรรดาผู้ที่มีชัยชนะ พวกคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปในพระคริสต์จะลุกขึ้นก่อน และพวกคนเหล่านั้นที่ยังเป็นอยู่จะเปลี่ยนแปลงไป และพวกเขาจะถูกรับขึ้นไปพบพระเจ้าในฟ้าอากาศด้วยกัน “…อย่างนั้นแหล่ะเราก็จะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4: 17)

พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ตลอดช่วงเวลาแห่งพระคุณตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในรูปของพระวิญญาณ พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ด้วยพระองค์เอง และมีสองหรือสามคนรวมตัวกันในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา ในวันเพ็นเทคอสต์พระวิญญาณได้เสด็จมาในพระวิญญาณเพื่อทรงสถิตย์อยู่ในการไถ่ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ (ยอห์น 14:18) “…และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 2: 6) ผู้เชื่อแท้คือ ผู้แสวงบุญและคนแปลกหน้าบนแผ่นดินโลกนี้ พวกเขาแสวงหาเมืองแห่งพระพรซึ่งผู้ทรงสร้างคือพระเจ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เป็น “พลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชนและเป็นครอบครัวของพระเจ้า” (เอเฟซัส 2: 19)

เมื่อการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ทุกคนที่ได้รับแต่งตั้งให้อยู่ในพระสิริ ไม่ว่าพวกเขาจะล่วงหลับไปหรือไม่ก็ตามหรือพวกเขายังเป็นอยู่ จะได้รับความเป็นอมตะโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่กระตุ้นอยู่และจะถูกนำขึ้นไปพบพระองค์ในฟ้าอากาศทุกคนตั้งแต่การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์จนถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริงซึ่งได้เทศนาแล้วในวันของพวกเขาและได้รับประสบการณ์แล้วจะได้พบกับพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังแห่งพระสิริของพวกเขา อาเมน! อ. เปาโล กล่าวเช่นนี้ว่า “ตั้งแต่นี้ไป มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งพระเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรมจะประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์” (2 ทิโมธี 4: 8) ในทุกยุคทุกสมัยของคริสตจักรมีผู้เชื่อในสิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายและเชื่อว่าการเสด็จกลับมาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกเขา พวกเขาใช้คำว่า “มารนาธา” - พระเจ้าเสด็จมาเพราะความปรารถนาฝังรากลึกในใจของพวกเขา พวกเขาอธิษฐานว่า “เชิญมาเถิด พระเยซูเจ้า” พวกเขาไม่ผิดพลาดและไม่ผิดหวัง พวกเขาเพียงล่วงหน้าไปก่อนพวกเราและกำลังรออยู่จนกระทั่งทุกคนเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ณ ตอนนี้ในยุคสุดท้ายจริงๆ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสิ้นของเจ้าบ่าวแห่งพระวจนะและเจ้าสาวแห่งพระวจนะกำลังเกิดขึ้น ดังนั้นในที่สุดพระวิญญาณและเจ้าสาวของพระคริสต์จะพูดในสิ่งเดียวกัน (วิวรณ์ 22: 17)

คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงเลือกในยุคพันธสัญญาเดิมฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 27: 51-54 ว่า “และเมื่อคนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีโดยความเชื่อ ก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ด้วยว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการอย่างดีกว่าไว้สำหรับเราทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เขาทั้งหลายถึงที่สำเร็จนอกจากเรา (ฮีบรู 11: 39-40) พวกเขากำลังรออยู่ในสวรรค์คาดหวังเวลานั้นตอนที่ทุกคนจะเห็นความสำเร็จบริบูรณ์ ในเวลานั้นผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรจากพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่จะอยู่ในงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ พระเจ้าของพวกเราได้ทรงอ้างถึงเรื่องนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “และเราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาเอนกายลงกันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์” (มัทธิว 8: 11)

การอ้างอิงพระคัมภีร์ไบเบิลหลายรายการนี้แสดงให้พวกเราเห็นถึงความสำคัญของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่นานนักหลังจากการจากไปของเหล่าอัครสาวกแล้ว คนทั้งหลายได้ฟื้นขึ้นผู้ที่เป็นฝ่ายวิญญาณในการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ คนทั้งหลายตาย แต่วิญญาณทั้งหลายไม่ พวกเขาครอบงำพวกคนเหล่านั้นที่พร้อมจะเผยแพร่พวกหลักคำสอนที่ผิด ทฤษฎีขององค์กรที่อ้างว่า อาณาจักรของพระเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วและได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้วในโลกนี้ในปี 1914 เป็นที่รู้จักกันทั่วไป พวกการเรียนการสอนที่คล้ายกันในความเกี่ยวข้องกับการตั้งค่าของวันทั้งหลายที่อยู่ในการแพร่หลายก่อนและหลังเวลานี้ อีกครั้งหนึ่งวลีที่กล่าวว่า “การปรากฏ (Parousia) ของพระคริสต์” อยู่ในการใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน พวกคนเหล่านั้นที่สอนเรื่อง “หลักคำสอนการปรากฏ (Parousia)” ยืนยันว่า พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้วและเวลานี้พระองค์ทรงกำลังพิพากษาและอื่นๆ อยู่ อีกครั้งหนึ่งการเสด็จกลับมาที่แท้จริงของพระคริสต์คือ การเป็นฝ่ายวิญญาณ และพวกคนเหล่านั้นที่ทำสิ่งนี้พูดเกี่ยวกับการเปิดเผยพิเศษ, ความเชื่อพิเศษ, พิเศษอย่างนี้ และพิเศษอย่างนั้น และกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่รู้จักโดยกลุ่มพิเศษเท่านั้น การอ้างสิทธิ์แบบเดียวกันทุกครั้ง การเทศนากำลังดำเนินไปด้วยความกระตือรือร้น และคนทั้งหลายก็ไม่ได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้วพวกเขาถูกพรากไปจากความจริง และถูกปล้นความหวังแห่งพระสิริ

การยืนยันดังกล่าวอาจฟังดูเคร่งศาสนาอย่างมาก แต่พวกมันผิดและทำให้เข้าใจผิด คำว่า "การปรากฏของพระเยซูคริสต์ (parousia)" ในภาษากรีกนั้นหมายถึง "การปรากฏ (presence)" ซึ่งมักจำเป็นต้องมีการปรากฏส่วนพระองค์หรือการเสด็จมาเสมอ การปรากฏ (Para-ousia) หมายถึง "การปรากฏของตัวตน (present substance)" ตัวอย่างเช่น ถ้าหากประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ทำเนียบขาว นั่นคือ การปรากฏตัว การปรากฏตัวไม่ใช่ความเพ้อฝัน; การปรากฏตัวที่เกิดขึ้นจริงมีอยู่เฉพาะหลังจากที่การมาถึงด้วยกายของบุคคลคนนั้นและสามารถมองเห็นได้ ดังนั้นจึงไม่มีการปรากฏพระองค์ของพระคริสต์ได้ถ้าหากปราศจากการเสด็จมาของพระองค์เป็นการส่วนพระองค์ หลักคำสอนดังกล่าวจึงไร้สาระ เมื่อการปรากฏพระองค์ครั้งแรกของพระองค์หรือ "การสำแดงของพระเยซูคริสต์" (การปรากฏพระองค์เมื่อการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์) เป็นความจริงและเป็นจริงในทางเดียวกัน การเสด็จมาของพระองค์โดยพระกายส่วนพระองค์ หลักคำสอนเกี่ยวกับการปรากฏของพระคริสต์โดยปราศจากการปรากฏส่วนพระองค์ของพระคริสต์จึงไม่เป็นไปตามหลักตรรกวิทยาและไม่มีรากฐานเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล

การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นจินตนาการหรือหลักคำสอน แต่เป็นความจริง อ. เปาโล เขียนว่า “ดูก่อน ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด” (1 โครินธ์ 15: 51) ทุกคนสามารถอ่านได้ในมัทธิว บทที่ 17 จากข้อ 2 ความหมายของการเปลี่ยนแปลงใหม่ หรือการจำแลงพระกาย และวิธีการที่เกิดขึ้น:“แล้วพระกายของพระเยซูก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง” ยอห์นเห็นพระเจ้าของพวกเราด้วยโฉมพระพักตร์ท่าทางแบบเดียวกันบนเกาะปัทมอส “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวดุจขนแกะสีขาว และขาวดุจหิมะ และพระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง" (วิวรณ์ 1: 12-18)

การจำแลงพระกายนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่อง “สิ่งซึ่งเปื่อยเน่านี้ต้องสวมซึ่งไม่เปื่อยเน่า และซึ่งจะตายนี้ต้องสวมซึ่งจะไม่รู้ตาย” (1 โครินธ์ 15: 53) ในความสำเร็จบริบูรณ์และความสมบูรณ์แบบนี้จะไม่มีวัยชรา แต่จะเป็นวัยหนุ่มนิรันดร์กาล ในโยบ 33: 23-28 พวกเราพบว่าความคิดซึ่งแสดงออกว่า พวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อเราจะเป็นวัยหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง พวกเราอ่านเกี่ยวกับการลบมลทินและผู้อธิษฐานวิงวอนที่นั่นว่า: “คนกลางผู้หนึ่งในท่ามกลางหนึ่งพันคน” จากนั้นในข้อ 24 อธิบายถึงค่าไถ่ที่พบแล้ว ในข้อ 25 กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับการทรงเลือกจะกลับไปสู่วันเวลาแห่งวัยหนุ่มของพวกเขา ในข้อที่ 26 กล่าวว่า พวกเขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยพวกเขา ใช่แล้วครับ พวกเราจะถูกนำกลับไปสู่จุดสูงสุดของวัยหนุ่มในกายของการฟื้นคืนชีพ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น “ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเปื่อยเน่า แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่” (1 โครินธ์ 15: 52)

เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นเพียงเท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงผู้ที่ไปก่อนพวกเราด้วยความหวังแห่งพระสิรินี้ โยบได้แสดงการฟื้นคืนชีพด้วยความเชื่อด้วยเช่นกันและได้กล่าวว่า “เพราะข้าทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในวาระข้างหน้าพระองค์จะทรงประทับยืนบนแผ่นดินโลก และถึงแม้ว่า หลังจากตัวหนอนแห่งผิวหนังของข้าทำลายร่างกายนี้แล้ว กระนั้นในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า” (โยบ 19: 25–26)

เมื่อการเสด็จกลับมาของพระเจ้าของพวกเรา คนทั้งหลายเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปในพระคริสต์จะได้รับร่างกายของการฟื้นคืนชีพตามที่เขียนไว้ว่า “การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเปื่อยเน่า สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเปื่อยเน่า สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีสง่าราศี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีอำนาจ สิ่งที่หว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ กายธรรมดามี และกายวิญญาณก็มี” (1 โครินธ์ 15 : 42-44)

“เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว *เช่นเดียวกันบรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมากับพระองค์ด้วย"* (1 เธสะโลนิกา 4: 14) ผู้ใดก็ตามที่สอนว่า พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้ว ต้องบอกพวกเราได้ถึงสถานที่ซึ่งคนทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงนำมากับพระองค์ ประการที่สอง คำสอนดังกล่าวทำให้ผู้ที่ยังเป็นอยู่มีความได้เปรียบโดยตรงเมื่อเปรียบเทียบกับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปและสิ่งนี้จะขัดแย้งกับถ้อยแถลงที่ชัดเจนของข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย: “ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านทราบตามพระวจนะของพระเจ้าว่า เราผู้ยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จนถึงพระเจ้าเสด็จมา *จะล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้วก็หามิได้ ด้วยว่าพระเจ้าเองจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบพระเจ้าในฟ้าอากาศ”* (1 เธสะโลนิกา 4: 15-17)

สังเกตไหมครับว่า พระเจ้ามิได้เสด็จกลับมาเพื่อชาวโลก แต่เพื่อบรรดาผู้ที่มีชัยชนะ พวกคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปในพระคริสต์จะลุกขึ้นก่อน และพวกคนเหล่านั้นที่ยังเป็นอยู่จะเปลี่ยนแปลงไป และพวกเขาจะถูกรับขึ้นไปพบพระเจ้าในฟ้าอากาศด้วยกัน “…อย่างนั้นแหล่ะเราก็จะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4: 17)

พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ตลอดช่วงเวลาแห่งพระคุณตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในรูปของพระวิญญาณ พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ด้วยพระองค์เอง และมีสองหรือสามคนรวมตัวกันในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงสถิตย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา ในวันเพ็นเทคอสต์พระวิญญาณได้เสด็จมาในพระวิญญาณเพื่อทรงสถิตย์อยู่ในการไถ่ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ (ยอห์น 14:18) “…และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 2: 6) ผู้เชื่อแท้คือ ผู้แสวงบุญและคนแปลกหน้าบนแผ่นดินโลกนี้ พวกเขาแสวงหาเมืองแห่งพระพรซึ่งผู้ทรงสร้างคือพระเจ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เป็น “พลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชนและเป็นครอบครัวของพระเจ้า” (เอเฟซัส 2: 19)

เมื่อการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ทุกคนที่ได้รับแต่งตั้งให้อยู่ในพระสิริ ไม่ว่าพวกเขาจะล่วงหลับไปหรือไม่ก็ตามหรือพวกเขายังเป็นอยู่ จะได้รับความเป็นอมตะโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่กระตุ้นอยู่และจะถูกนำขึ้นไปพบพระองค์ในฟ้าอากาศทุกคนตั้งแต่การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์จนถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริงซึ่งได้เทศนาแล้วในวันของพวกเขาและได้รับประสบการณ์แล้วจะได้พบกับพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความหวังแห่งพระสิริของพวกเขา อาเมน! อ. เปาโล กล่าวเช่นนี้ว่า “ตั้งแต่นี้ไป มงกุฎแห่งความชอบธรรมก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งพระเจ้า ผู้พิพากษาอันชอบธรรมจะประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะประทานแก่คนทั้งปวงที่รักการเสด็จมาของพระองค์” (2 ทิโมธี 4: 8) ในทุกยุคทุกสมัยของคริสตจักรมีผู้เชื่อในสิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายและเชื่อว่าการเสด็จกลับมาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกเขา พวกเขาใช้คำว่า “มารนาธา” - พระเจ้าเสด็จมาเพราะความปรารถนาฝังรากลึกในใจของพวกเขา พวกเขาอธิษฐานว่า “เชิญมาเถิด พระเยซูเจ้า” พวกเขาไม่ผิดพลาดและไม่ผิดหวัง พวกเขาเพียงล่วงหน้าไปก่อนพวกเราและกำลังรออยู่จนกระทั่งทุกคนเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ณ ตอนนี้ในยุคสุดท้ายจริงๆ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสิ้นของเจ้าบ่าวแห่งพระวจนะและเจ้าสาวแห่งพระวจนะกำลังเกิดขึ้น ดังนั้นในที่สุดพระวิญญาณและเจ้าสาวของพระคริสต์จะพูดในสิ่งเดียวกัน (วิวรณ์ 22: 17)

คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงเลือกในยุคพันธสัญญาเดิมฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 27: 51-54 ว่า “และเมื่อคนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีโดยความเชื่อ ก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ ด้วยว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการอย่างดีกว่าไว้สำหรับเราทั้งหลาย *เพื่อไม่ให้เขาทั้งหลายถึงที่สำเร็จนอกจากเรา* (ฮีบรู 11: 39-40) พวกเขากำลังรออยู่ในสวรรค์คาดหวังเวลานั้นตอนที่ทุกคนจะเห็นความสำเร็จบริบูรณ์ ในเวลานั้นผู้ที่ได้รับการทรงเลือกสรรจากพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่จะอยู่ในงานเลี้ยงฉลองอันยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ พระเจ้าของพวกเราได้ทรงอ้างถึงเรื่องนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “และเราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาเอนกายลงกันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์” (มัทธิว 8: 11)