การเสด็จกลับมาของพระคริสต์

สำเนียงของเทพบดี

« »

การกล่าวถึงสำเนียงของเทพบดีใน 1 เธสะโลนิกา 4: 16 ก็สำคัญมากด้วยเช่นกัน เหล่าทูตสวรรค์คือ “ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดก” (ฮีบรู 1: 14) ในช่วงเวลาแห่งการรับขึ้นไป พระผู้ไถ่จะทรงรับผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วขึ้นไปเข้าไปสู่พระสิริ ในขณะที่ซาตานกับทุกคนที่ติดตามมันจะถูกเหวี่ยงลงสู่แผ่นดินโลก นี่จะเป็นเครื่องหมายถึงความสำเร็จของสิ่งที่ยอห์นได้เห็นในตัวอย่าง และสิ่งที่เขาอธิบายราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วว่า: “และมีสงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอล และพวกทูตสวรรค์ของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับพวกทูตของมันก็ต่อสู้ แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12: 7-9)

ครั้งหนึ่งที่พระผู้ไถ่ของพวกเรามีเพียงครั้งเดียวและสำหรับทุกคนที่ได้พิชิตซาตานและมีชัยชนะต่อพวกวิญญาณชั่วทั้งหมด “พระองค์ทรงปลดเจ้าผู้ครอบครองอาณาจักรและเจ้าผู้มีอำนาจเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น” (โคโลสี 2: 15) พระองค์ได้ทรงพิชิตความตายและนรก ได้ทรงนำพวกเชลยไปเป็นเชลยอีก (เอเฟซัส 4: 8) และชัยชนะในวันที่สาม “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย และเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่ดูเถิด เราก็ยังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน และเราถือลูกกุญแจแห่งนรกและแห่งความตาย” (วิวรณ์ 1: 17-18)

ซาตานยังคงเป็นผู้กล่าวโทษพี่น้อง ดังนั้นพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นกลางของพันธสัญญาใหม่ยังคงเป็นมหาปุโรหิตและพระผู้ช่วยจนกว่าคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์จะเสร็จสิ้น  ช่วงเวลาแห่งการไถ่ทั้งหมดปรากฏในการทรงสถิตย์ของพระเจ้าโดยปราศจากจุดหรือริ้วรอย ซาตานมิอาจจะกล่าวโทษพวกเขาได้อีกต่อไป ในขณะนั้นมันจะถูกโยนลงมาพร้อมกับเจ้าทั้งหลายที่ติดตามมัน

ตามที่พวกเราได้จดบันทึกไว้ในวิวรณ์ 12: 7-9 มันจะเป็นการงานของอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล  ที่จะเปล่งเสียงของเขาและแสดงให้เห็นถึงความจำกัดของศัตรูที่ถูกพิชิต มันก็คือ มีคาเอลที่โต้เถียงกับซาตานเรื่องศพของโมเสส (ยูดาห์ 9) ในที่สุดเขาจะยืนขึ้นและต่อสู้เพื่อพวกคนอิสราเอล ตามที่เขียนไว้ว่า “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น” (ดาเนียล 12: 1) ผมจะไม่แปลกใจถ้าหากเขาเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงในวิวรณ์ 20: 1-3 ผู้ที่จะล่ามซาตานและโยนมันลงไปในเหวลึกก่อนที่จะเริ่มต้นการครองราชย์หนึ่งพันปีของพระคริสต์ หลักคำสอนที่ว่าอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอลคือพระคริสต์นั้นไร้สาระ ความจริงคือ พระยาเวห์แห่งพันธสัญญาเดิมทรงเป็นพระเยซูแห่งพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าองค์เดียวกัน – เมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ มีคาเอลและกาเบรียลเป็น - ในพันธสัญญาใหม่ – พวกเขาเป็นผู้ใดในพันธสัญญาเดิม

ไม่จำเป็นต้องมีการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งระหว่างผู้พิชิตแห่งโกละโกธาและผู้พิชิตกองกำลังทั้งหลายของพวกศัตรูซึ่งยังคงกำลังต่อสู้อยู่ในฟ้าอากาศ (เอเฟซัส 6: 10-17) “… ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองพระบาทของพระองค์” (ฮีบรู 10: 13) ณ การเสด็จกลับมาของพระองค์ เจ้าบ่าวจะเสด็จมาเพื่อเจ้าสาวเท่านั้น พระองค์จะไม่ทรงมีข้อผูกพันอื่นใด ณ เวลานั้น

กาเบรียลได้รับกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อมีพวกการประกาศพิเศษหรือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการณ์แห่งความรอด (ดาเนียล 8: 16; ดาเนียล 9: 21) กาเบรียลได้ประกาศแก่เศคาริยาห์ถึงการกำเนิดของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาด้วยเช่นกัน (ลูกา 1: 19) จากนั้นการประสูติของของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราแก่นางมารีย์ (ลูกา 1: 26) ในการศึกสงคราม (ในอนาคต) ที่เกี่ยวข้องกับพวกศัตรูและกองกำลังทั้งหลายของมัน อัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอลได้รับชัยชนะ

ในการรับขึ้นไปเฉพาะคนทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์เท่านั้นที่จะเข้าร่วม ตามที่เขียนไว้ว่า “… และผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น” (มัทธิว 25: 10) ซาตานไม่สามารถเข้าไปทางประตูได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นประตู มันเข้าไปในอีกทางหนึ่ง เพราะมันเป็นขโมยและโจร (ยอห์น 10: 1) – แต่มันจะถูกขับออกไป

ในมัทธิว บทที่ 22 พวกเราพบคำอธิบายเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสและแขกทั้งหลายที่มาร่วมงาน “แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส ท่านจึงรับสั่งถามเขาว่า ‘สหายเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส’ ผู้นั้นก็นิ่งอยู่พูดไม่ออก  กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’” (ข้อ 11-13) บางคนก็สะดุดเพราะพระเจ้าของพวกเราใช้คำว่า "สหาย" สังเกตไหมครับ อย่างไรก็ตามพระเยซูตรัสกับยูดาสผู้ทรยศของพระองค์ผู้ซึ่งซาตานได้เข้ามาในทำนองเดียวกันว่า “สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม?” (มัทธิว 26: 50) ซาตานสามารถปรากฏในชุดสีขาวและแสดงตัวของมันเองเป็นทูตแห่งความสว่างได้ (2 โครินธ์ 11: 14) แต่มันมิอาจจะสวมชุดแต่งงานได้ เฉพาะเจ้าสาวของพระคริสต์เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการแต่ง “ผ้าป่านเนื้อละเอียด สะอาดและขาว เพราะผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นเป็นความชอบธรรมของพวกวิสุทธิชน” (วิวรณ์ 19: 8) 

พวกเราอ่านเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับชัยชนะทั้งหลายว่า “เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และโดยคำพยานของพวกเขาเอง และเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน” (วิวรณ์ 12: 11) ถ้าหากพวกเราติดตามพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงในฐานะบุตรทั้งหลายที่เชื่อฟังของพระเจ้า เท้าของพวกเราจะถูกวางลงไปในรอยพระบาทของพระองค์  ในวิธีนี้ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้นจริงในพวกเราและโดยทางพวกเรา: “เพราะในพวกเราไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองฝ่ายเดียว ถ้าเรามีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และถ้าเราตายก็ตายเพื่อพระเจ้า” (โรม 14: 7-8) อ. เปาโล และทุกคนที่ตายไปแล้วกับพระคริสต์สามารถพูดได้ว่า “แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเอง แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2: 20) มันไม่เพียงพอที่จะเทศนา, ร้องเพลง หรือพูดเกี่ยวกับมัน มันต้องกลายเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงในชีวิตของพวกเราถ้าหากพวกเราปรารถนาที่จะเข้าไปสู่พระสิริของพระองค์

การกล่าวถึงสำเนียงของเทพบดีใน 1 เธสะโลนิกา 4: 16 ก็สำคัญมากด้วยเช่นกัน เหล่าทูตสวรรค์คือ “ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดก” (ฮีบรู 1: 14) ในช่วงเวลาแห่งการรับขึ้นไป พระผู้ไถ่จะทรงรับผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วขึ้นไปเข้าไปสู่พระสิริ ในขณะที่ซาตานกับทุกคนที่ติดตามมันจะถูกเหวี่ยงลงสู่แผ่นดินโลก นี่จะเป็นเครื่องหมายถึงความสำเร็จของสิ่งที่ยอห์นได้เห็นในตัวอย่าง และสิ่งที่เขาอธิบายราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วว่า: “และมีสงครามเกิดขึ้นในสวรรค์ มีคาเอล และพวกทูตสวรรค์ของท่านได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับพวกทูตของมันก็ต่อสู้ แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12: 7-9)

ครั้งหนึ่งที่พระผู้ไถ่ของพวกเรามีเพียงครั้งเดียวและสำหรับทุกคนที่ได้พิชิตซาตานและมีชัยชนะต่อพวกวิญญาณชั่วทั้งหมด “พระองค์ทรงปลดเจ้าผู้ครอบครองอาณาจักรและเจ้าผู้มีอำนาจเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น” (โคโลสี 2: 15) พระองค์ได้ทรงพิชิตความตายและนรก ได้ทรงนำพวกเชลยไปเป็นเชลยอีก (เอเฟซัส 4: 8) และชัยชนะในวันที่สาม “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย และเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่ดูเถิด เราก็ยังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน และเราถือลูกกุญแจแห่งนรกและแห่งความตาย” (วิวรณ์ 1: 17-18)

ซาตานยังคงเป็นผู้กล่าวโทษพี่น้อง ดังนั้นพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นกลางของพันธสัญญาใหม่ยังคงเป็นมหาปุโรหิตและพระผู้ช่วยจนกว่าคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์จะเสร็จสิ้น  ช่วงเวลาแห่งการไถ่ทั้งหมดปรากฏในการทรงสถิตย์ของพระเจ้าโดยปราศจากจุดหรือริ้วรอย ซาตานมิอาจจะกล่าวโทษพวกเขาได้อีกต่อไป ในขณะนั้นมันจะถูกโยนลงมาพร้อมกับเจ้าทั้งหลายที่ติดตามมัน

ตามที่พวกเราได้จดบันทึกไว้ในวิวรณ์ 12: 7-9 มันจะเป็นการงานของอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอล  ที่จะเปล่งเสียงของเขาและแสดงให้เห็นถึงความจำกัดของศัตรูที่ถูกพิชิต มันก็คือ มีคาเอลที่โต้เถียงกับซาตานเรื่องศพของโมเสส (ยูดาห์ 9) ในที่สุดเขาจะยืนขึ้นและต่อสู้เพื่อพวกคนอิสราเอล ตามที่เขียนไว้ว่า “ในครั้งนั้น มีคาเอล เจ้าผู้พิทักษ์ยิ่งใหญ่ ผู้คุ้มกันชนชาติของท่านจะลุกขึ้น” (ดาเนียล 12: 1) ผมจะไม่แปลกใจถ้าหากเขาเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงในวิวรณ์ 20: 1-3 ผู้ที่จะล่ามซาตานและโยนมันลงไปในเหวลึกก่อนที่จะเริ่มต้นการครองราชย์หนึ่งพันปีของพระคริสต์ หลักคำสอนที่ว่าอัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอลคือพระคริสต์นั้นไร้สาระ ความจริงคือ พระยาเวห์แห่งพันธสัญญาเดิมทรงเป็นพระเยซูแห่งพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าองค์เดียวกัน – เมื่อวานนี้, วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ มีคาเอลและกาเบรียลเป็น - ในพันธสัญญาใหม่ – พวกเขาเป็นผู้ใดในพันธสัญญาเดิม

ไม่จำเป็นต้องมีการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งระหว่างผู้พิชิตแห่งโกละโกธาและผู้พิชิตกองกำลังทั้งหลายของพวกศัตรูซึ่งยังคงกำลังต่อสู้อยู่ในฟ้าอากาศ (เอเฟซัส 6: 10-17) “… ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองพระบาทของพระองค์” (ฮีบรู 10: 13) ณ การเสด็จกลับมาของพระองค์ เจ้าบ่าวจะเสด็จมาเพื่อเจ้าสาวเท่านั้น พระองค์จะไม่ทรงมีข้อผูกพันอื่นใด ณ เวลานั้น

กาเบรียลได้รับกล่าวถึงบ่อยครั้งเมื่อมีพวกการประกาศพิเศษหรือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการณ์แห่งความรอด (ดาเนียล 8: 16; ดาเนียล 9: 21) กาเบรียลได้ประกาศแก่เศคาริยาห์ถึงการกำเนิดของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาด้วยเช่นกัน (ลูกา 1: 19) จากนั้นการประสูติของของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราแก่นางมารีย์ (ลูกา 1: 26) ในการศึกสงคราม (ในอนาคต) ที่เกี่ยวข้องกับพวกศัตรูและกองกำลังทั้งหลายของมัน อัครเทวทูตาธิบดีมีคาเอลได้รับชัยชนะ

ในการรับขึ้นไปเฉพาะคนทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์เท่านั้นที่จะเข้าร่วม ตามที่เขียนไว้ว่า “… และผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น” (มัทธิว 25: 10) ซาตานไม่สามารถเข้าไปทางประตูได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นประตู มันเข้าไปในอีกทางหนึ่ง เพราะมันเป็นขโมยและโจร (ยอห์น 10: 1) – แต่มันจะถูกขับออกไป

ในมัทธิว บทที่ 22 พวกเราพบคำอธิบายเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสและแขกทั้งหลายที่มาร่วมงาน “แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส ท่านจึงรับสั่งถามเขาว่า ‘สหายเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส’ ผู้นั้นก็นิ่งอยู่พูดไม่ออก  กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’” (ข้อ 11-13) บางคนก็สะดุดเพราะพระเจ้าของพวกเราใช้คำว่า "สหาย" สังเกตไหมครับ อย่างไรก็ตามพระเยซูตรัสกับยูดาสผู้ทรยศของพระองค์ผู้ซึ่งซาตานได้เข้ามาในทำนองเดียวกันว่า “สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม?” (มัทธิว 26: 50) ซาตานสามารถปรากฏในชุดสีขาวและแสดงตัวของมันเองเป็นทูตแห่งความสว่างได้ (2 โครินธ์ 11: 14) แต่มันมิอาจจะสวมชุดแต่งงานได้ เฉพาะเจ้าสาวของพระคริสต์เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการแต่ง “ผ้าป่านเนื้อละเอียด สะอาดและขาว เพราะผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นเป็นความชอบธรรมของพวกวิสุทธิชน” (วิวรณ์ 19: 8)

พวกเราอ่านเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับชัยชนะทั้งหลายว่า “เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และโดยคำพยานของพวกเขาเอง และเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน” (วิวรณ์ 12: 11) ถ้าหากพวกเราติดตามพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงในฐานะบุตรทั้งหลายที่เชื่อฟังของพระเจ้า เท้าของพวกเราจะถูกวางลงไปในรอยพระบาทของพระองค์  ในวิธีนี้ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้นจริงในพวกเราและโดยทางพวกเรา: “เพราะในพวกเราไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองฝ่ายเดียว ถ้าเรามีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และถ้าเราตายก็ตายเพื่อพระเจ้า” (โรม 14: 7-8) อ. เปาโล และทุกคนที่ตายไปแล้วกับพระคริสต์สามารถพูดได้ว่า “แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเอง แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2: 20) มันไม่เพียงพอที่จะเทศนา, ร้องเพลง หรือพูดเกี่ยวกับมัน มันต้องกลายเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงในชีวิตของพวกเราถ้าหากพวกเราปรารถนาที่จะเข้าไปสู่พระสิริของพระองค์