การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
“ครั้นหนึ่งพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้ และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดั่งเม็ดทรายที่ทะเล” (วิวรณ์ 20: 7-8) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการครองราชย์หนึ่งพันปี แต่ก่อนการฟื้นคืนชีพครั้งที่สองและการพิพากษาที่พระที่นั่งใหญ่สีขาว มันหมายถึงประชาชาติทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่บนโลกในช่วงระยะการครองราชย์หนึ่งพันปี แต่ในเวลาไม่นานก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ ถ้าหากมีใครอ่านหนังสือของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล บทที่ 38 และ 39 อย่างรอบคอบ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะสังเกตเห็นความเชื่อมโยงระหว่างศึกสงครามที่เด็ดขาดสองครั้งคือ: ครั้งหนึ่งที่อารมาเกดโดนจะเกิดขึ้นก่อนการครองราชย์หนึ่งพันปีจะเริ่ม อีกครั้งหนึ่ง (“โกกและมาโกก”) จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่หนึ่งพันปีสิ้นสุดลง มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างเอเสเคียล 39: 17-20 และวิวรณ์ 19: 17–21 ในความเป็นจริงทั้งสองครั้งมีการกล่าวถึงพวกคนพวกเดียวกันซึ่งจะมาต่อต้านกรุงเยรูซาเล็ม เนื่องจากซาตานถูกล่ามไว้ในช่วงการครองราชย์หนึ่งพันปี ทุกสิ่งทุกอย่างจึงยังคงเงียบสงบ ทันทีทันใดที่มันถูกปล่อยไป ปัญหาใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นและอิทธิพลของมันจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วยมิใช่การวกกลับมาใหม่
“และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น ส่วนมารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 20: 9-10)
ก่อนเวลาที่จะถูกรวมเข้าไปสู่นิรันดร์กาล การพิพากษาครั้งสุดท้าย (ตามที่กล่าวถึงในวิวรณ์ บทที่ 20 จากข้อ 11) จะเกิดขึ้น ทุกคนที่เคยเกิดมาในโลกนี้และได้อาศัยอยู่บนโลกจะฟื้นคืนชีพและจะต้องปรากฏตัวต่อพระพักตร์ผู้พิพากษานิรันดร์ ในเวลานั้นหนังสือทั้งหลายจะถูกเปิดออก และทุกคนจะได้รับการพิพากษาตามการงานของพวกเขา มันเป็นกำลังใจอย่างมากที่จะอ่านหนังสือแห่งชีวิตนั้นจะถูกเปิดออกเช่นกันในการฟื้นคืนชีพครั้งที่สอง จะมีคนทั้งหลายที่มีชื่อเขียนไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกพบในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก มันเป็นหนังสือเล่มเดียวกันแต่ประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพครั้งแรก และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับครั้งที่สอง คนทั้งหลายเหล่านั้นที่ถูกพบในหนังสือแห่งชีวิตที่เชื่อเช่นนั้นในพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนบุคคลของพวกเขาในขณะที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และดังนั้นจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ พวกเขาไม่ได้เชื่อพระสัญญาทั้งหลายสำหรับยุคสมัยของพวกเขาอาจจะถูกเก็บไว้ในที่มืดมิดในนิกายต่างๆ และดังนั้นจึงมิอาจจะมีส่วนร่วมในพิธีอภิเษกสมรสได้ และพลาดการครองราชย์ยุคหนึ่งพันปีกับพระคริสต์ แต่ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาจะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์
พระวจนะของพระเจ้ายังกล่าวอย่างชัดเจนมากด้วยเช่นกันถึงการลงโทษครั้งสุดท้ายของคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เหลืออยู่ซึ่งปรากฏในการพิพากษาครั้งสุดท้ายว่า “และผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ” (วิวรณ์ 20: 15) ทะเลสาบแห่งบึงไฟได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ความตายครั้งที่สอง” ข้อพระคัมภีร์มีความชัดเจนมากในจุดนี้ว่า “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง” (ข้อ 14) ในเวลานั้นซาตาน, ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ และสัตว์ร้ายอยู่ในทะเลสาบบึงไฟแล้ว ขณะช่วงเวลาแห่งการทรมานของพวกมันกล่าวว่า “และจะต้องทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปและตลอดไป” มันอาจเป็นหลายยุคสมัย น่าเสียดายที่พวกนักแปลพระคัมภีร์ไบเบิลแปลภาษากรีก คำว่า "aeon" หลายครั้งว่าหมายถึง นิรันดร์ หรือ ชั่วนิรันดร์ หรือ ตลอดกาล แต่ในความเป็นจริงแล้วคำว่า "aeon" อธิบายถึงระยะเวลาหนึ่งและไม่ใช่ชั่วนิรันดร์
แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถทำนายได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด ในอนาคตที่จะมาถึงเมื่อเวลาจะหยุด เวลาจะถูกยกเลิก และสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็น – ระหว่าง “เวลา” – จะไม่มีอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ สิ่งเหล่านั้นซึ่งมีจุดเริ่มต้นจำเป็นจะต้องมีจุดจบ มันจะง่ายกว่าที่พวกเราจะเข้าใจแนวคิดที่ยากนี้ ถ้าหากพวกนักแปลพระคัมภีร์ได้รับความสว่างจากพระเจ้าในหัวข้อเรื่องนี้ สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าไม่เคยมีจุดเริ่มต้น – พวกมันเป็นนิรันดร์และจะ "เป็น" ตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล สิ่งทั้งหลายที่มีจุดเริ่มต้นหรือถูกสร้างขึ้นจะมีจุดจบ
จำได้ไหมครับว่า ทะเลสาบบึงไฟถูกกล่าวถึงว่าเป็น "ความตายครั้งที่สอง" ความตายครั้งแรกเกิดขึ้นกับบุคคลคนหนึ่งเมื่อจิตวิญญาณออกไปจากร่างกาย ความตายครั้งที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณแห่งชีวิตออกไปจากจิตวิญญาณ ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จได้ "จิตใจทุกคนที่กระทำบาปจะต้องตาย" (เอเสเคียล 18: 4+20) แปลกแต่จริง ไม่มีสักแห่งหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ระบุว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ เพียงพระเจ้าเท่านั้น ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ พวกเราอ่าน “… พระองค์ผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระเจ้าเหนือเจ้านายทั้งปวง พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตย์ในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง” (1 ทิโมธี 6: 15+16) ในการอ้างอิงถึงความจริงนี้พวกคนเหล่านั้นที่ค้นหาสิ่งนี้และสัตย์ซื่อในใจของพวกเขาต้องเห็นด้วยกับพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าของพวกเราและพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายในการบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว" (ยอห์น 8: 24) โมเสสได้กล่าวถึงพันธกิจของพระคริสต์ที่จะมีในฐานะบุตรมนุษย์ “ผู้เผยพระวจนะ” และกล่าวว่า “และจะเป็นเช่นนี้คือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ตั้งใจฟังผู้เผยพระวจนะท่านนั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากท่ามกลางประชาชน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 18: 15-19; กิจการ 3: 21-23)
พวกเราเท่านั้นที่มีชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เฉพาะผู้ที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ด้วยประสบการณ์อันแท้จริงของการบังเกิดใหม่เท่านั้นที่สามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้ ชีวิตนิรันดร์คือ ชีวิตของพระเจ้าที่ปรากฏในพระคริสต์บนโลกนี้ ตามที่ระบุไว้ชีวิตของพระเจ้ามิเคยได้เริ่มต้นและดังนั้นจึงมิอาจจะสิ้นสุดได้และจะเป็นตลอดนิรันดร์กาล อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างรอบคอบว่า “พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์แก่เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต” (1 ยอห์น 5: 11-12)
มันควรจะถูกย้ำว่า จะไม่มีผู้ใดหลงหายไปเพราะเขาเกิดมาในความบาปและมีชีวิตอยู่ในความบาป คำถามเกี่ยวกับความบาปจึงได้สำเร็จแล้วเพียงครั้งเดียวและสำหรับทุกคนเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกกระทำให้รับความบาปเพื่อพวกเรา ซึ่งโดยพระองค์พวกเราจะเป็นผู้ชอบธรรมที่แท้จริงของพระเจ้าได้ (โรม 3: 21-26) เฉพาะคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในพระคริสต์ทรงคืนดีโลกกับพระองค์เอง ทรงยกโทษให้อภัยบาปทั้งปวง และการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของพวกเรา และทรงรับพวกเราเป็นบุตราและบุตรีของพระองค์ จะทรงสิ้นพระชนม์ในบาปทั้งหลายของพวกเขา (ยอห์น 8: 24)
ความเชื่อแท้ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดมิใช่เรื่องทางศาสนา แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเพื่อมนุษยชาติ ในพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เอง และดังนั้นชีวิตนิรันดร์จึงมาถึงพวกเราได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชื่อในพระคริสต์ ถ้าหากผู้ใดปรารถนาที่จะมีชีวิตนิรันดร์ “… ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3: 15) ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา (มาระโก 16: 16) คนทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่ในบาปแห่งความไม่เชื่อแยกตัวของพวกเขาเองจากพระเจ้า ถ้าหากผู้อ่านปรารถนาที่จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไป อย่าพยายามทำตามวิถีทางของคุณเองและผ่านทางการงานทั้งหลายของคุณเอง แต่ให้ยอมรับพระราชกิจอันทรงฤทธานุภาพของการไถ่ซึ่งประสบความสำเร็จในพระคริสต์ และพบความรอดนิรันดร์และการหยุดพักในพระเจ้า
หลังจากการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่พระที่นั่งพิพากษาสีขาว พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่ในนั้นจะไม่ระลึกถึงสิ่งเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา นั่นจะเป็นนิรันดร์กาลแห่งพระสิริ, ไม่มีความเจ็บป่วยอีกต่อไป, ไม่มีความเศร้าโศกอีกต่อไป, ไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป, ไม่มีความตายอีกต่อไป, ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ความสุขคือผู้ที่จะมีชีวิตนิรันดร์ในความปิติยินดีอันยิ่งใหญ่แห่งพระสิรินั้น ในที่สุดการรับใช้พระเจ้าในชีวิตบนโลกนี้จะคุ้มค่า สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่มีความหวังแห่งพระสิรินี้ จะเป็นการชุมนุมกันใหม่กับคนที่รักทุกคนที่ได้ล่วงหน้าไปก่อนพวกเรา พวกเขาจะได้พบกับพวกคนที่รักและเชื่อฟังพระเจ้า และคนที่รักกันและกันด้วย จำไว้ว่า ความรักที่สมบูรณ์แบบ - ความรักของพระเจ้า – เพียงเท่านั้นที่จะเข้าไปสู่ที่นั่นได้
ฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ได้ถูกสัญญาไว้แล้วในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่และจะปรากฏขึ้นเมื่อเวลาจะเสร็จสิ้น หลังจากการครองราชย์หนึ่งพันปีได้สิ้นสุดลงและการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่พระบัลลังก์สีขาวได้เกิดขึ้น “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”
“ครั้นหนึ่งพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้ และมันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้คนมาชุมนุมกันทำศึกสงคราม จำนวนคนเหล่านั้นมากมายดั่งเม็ดทรายที่ทะเล” (วิวรณ์ 20: 7-8) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการครองราชย์หนึ่งพันปี แต่ก่อนการฟื้นคืนชีพครั้งที่สองและการพิพากษาที่พระที่นั่งใหญ่สีขาว มันหมายถึงประชาชาติทั้งหลายซึ่งดำรงอยู่บนโลกในช่วงระยะการครองราชย์หนึ่งพันปี แต่ในเวลาไม่นานก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ ถ้าหากมีใครอ่านหนังสือของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล บทที่ 38 และ 39 อย่างรอบคอบ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะสังเกตเห็นความเชื่อมโยงระหว่างศึกสงครามที่เด็ดขาดสองครั้งคือ: ครั้งหนึ่งที่อารมาเกดโดนจะเกิดขึ้นก่อนการครองราชย์หนึ่งพันปีจะเริ่ม อีกครั้งหนึ่ง (“โกกและมาโกก”) จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่หนึ่งพันปีสิ้นสุดลง มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างเอเสเคียล 39: 17-20 และวิวรณ์ 19: 17–21 ในความเป็นจริงทั้งสองครั้งมีการกล่าวถึงพวกคนพวกเดียวกันซึ่งจะมาต่อต้านกรุงเยรูซาเล็ม เนื่องจากซาตานถูกล่ามไว้ในช่วงการครองราชย์หนึ่งพันปี ทุกสิ่งทุกอย่างจึงยังคงเงียบสงบ ทันทีทันใดที่มันถูกปล่อยไป ปัญหาใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นและอิทธิพลของมันจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งด้วยมิใช่การวกกลับมาใหม่
“และคนเหล่านั้นยกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิสุทธิชน และเมืองอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟได้ตกลงมาจากพระเจ้าออกจากสวรรค์ เผาผลาญคนเหล่านั้น ส่วนมารที่ล่อลวงเขาเหล่านั้นก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่สัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์เท็จอยู่นั้น และมันต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 20: 9-10)
ก่อนเวลาที่จะถูกรวมเข้าไปสู่นิรันดร์กาล การพิพากษาครั้งสุดท้าย (ตามที่กล่าวถึงในวิวรณ์ บทที่ 20 จากข้อ 11) จะเกิดขึ้น ทุกคนที่เคยเกิดมาในโลกนี้และได้อาศัยอยู่บนโลกจะฟื้นคืนชีพและจะต้องปรากฏตัวต่อพระพักตร์ผู้พิพากษานิรันดร์ ในเวลานั้นหนังสือทั้งหลายจะถูกเปิดออก และทุกคนจะได้รับการพิพากษาตามการงานของพวกเขา มันเป็นกำลังใจอย่างมากที่จะอ่านหนังสือแห่งชีวิตนั้นจะถูกเปิดออกเช่นกันในการฟื้นคืนชีพครั้งที่สอง จะมีคนทั้งหลายที่มีชื่อเขียนไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกพบในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดก มันเป็นหนังสือเล่มเดียวกันแต่ประกอบด้วยสองส่วนที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพครั้งแรก และอีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับครั้งที่สอง คนทั้งหลายเหล่านั้นที่ถูกพบในหนังสือแห่งชีวิตที่เชื่อเช่นนั้นในพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนบุคคลของพวกเขาในขณะที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และดังนั้นจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ พวกเขาไม่ได้เชื่อพระสัญญาทั้งหลายสำหรับยุคสมัยของพวกเขาอาจจะถูกเก็บไว้ในที่มืดมิดในนิกายต่างๆ และดังนั้นจึงมิอาจจะมีส่วนร่วมในพิธีอภิเษกสมรสได้ และพลาดการครองราชย์ยุคหนึ่งพันปีกับพระคริสต์ แต่ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาจะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์
พระวจนะของพระเจ้ายังกล่าวอย่างชัดเจนมากด้วยเช่นกันถึงการลงโทษครั้งสุดท้ายของคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เหลืออยู่ซึ่งปรากฏในการพิพากษาครั้งสุดท้ายว่า “และผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ” (วิวรณ์ 20: 15) ทะเลสาบแห่งบึงไฟได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ความตายครั้งที่สอง” ข้อพระคัมภีร์มีความชัดเจนมากในจุดนี้ว่า “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง” (ข้อ 14) ในเวลานั้นซาตาน, ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ และสัตว์ร้ายอยู่ในทะเลสาบบึงไฟแล้ว ขณะช่วงเวลาแห่งการทรมานของพวกมันกล่าวว่า “และจะต้องทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปและตลอดไป” มันอาจเป็นหลายยุคสมัย น่าเสียดายที่พวกนักแปลพระคัมภีร์ไบเบิลแปลภาษากรีก คำว่า "aeon" หลายครั้งว่าหมายถึง นิรันดร์ หรือ ชั่วนิรันดร์ หรือ ตลอดกาล แต่ในความเป็นจริงแล้วคำว่า "aeon" อธิบายถึงระยะเวลาหนึ่งและไม่ใช่ชั่วนิรันดร์
แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถทำนายได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด ในอนาคตที่จะมาถึงเมื่อเวลาจะหยุด เวลาจะถูกยกเลิก และสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็น – ระหว่าง “เวลา” – จะไม่มีอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ สิ่งเหล่านั้นซึ่งมีจุดเริ่มต้นจำเป็นจะต้องมีจุดจบ มันจะง่ายกว่าที่พวกเราจะเข้าใจแนวคิดที่ยากนี้ ถ้าหากพวกนักแปลพระคัมภีร์ได้รับความสว่างจากพระเจ้าในหัวข้อเรื่องนี้ สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าไม่เคยมีจุดเริ่มต้น – พวกมันเป็นนิรันดร์และจะ "เป็น" ตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล สิ่งทั้งหลายที่มีจุดเริ่มต้นหรือถูกสร้างขึ้นจะมีจุดจบ
จำได้ไหมครับว่า ทะเลสาบบึงไฟถูกกล่าวถึงว่าเป็น "ความตายครั้งที่สอง" ความตายครั้งแรกเกิดขึ้นกับบุคคลคนหนึ่งเมื่อจิตวิญญาณออกไปจากร่างกาย ความตายครั้งที่สองจะเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณแห่งชีวิตออกไปจากจิตวิญญาณ ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ในพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จได้ "จิตใจทุกคนที่กระทำบาปจะต้องตาย" (เอเสเคียล 18: 4+20) แปลกแต่จริง ไม่มีสักแห่งหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ระบุว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะ เพียงพระเจ้าเท่านั้น ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ พวกเราอ่าน “… พระองค์ผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระเจ้าเหนือเจ้านายทั้งปวง พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตย์ในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง” (1 ทิโมธี 6: 15+16) ในการอ้างอิงถึงความจริงนี้พวกคนเหล่านั้นที่ค้นหาสิ่งนี้และสัตย์ซื่อในใจของพวกเขาต้องเห็นด้วยกับพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าของพวกเราและพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายในการบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว" (ยอห์น 8: 24) โมเสสได้กล่าวถึงพันธกิจของพระคริสต์ที่จะมีในฐานะบุตรมนุษย์ “ผู้เผยพระวจนะ” และกล่าวว่า “และจะเป็นเช่นนี้คือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ตั้งใจฟังผู้เผยพระวจนะท่านนั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากท่ามกลางประชาชน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 18: 15-19; กิจการ 3: 21-23)
พวกเราเท่านั้นที่มีชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เฉพาะผู้ที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ด้วยประสบการณ์อันแท้จริงของการบังเกิดใหม่เท่านั้นที่สามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้ ชีวิตนิรันดร์คือ ชีวิตของพระเจ้าที่ปรากฏในพระคริสต์บนโลกนี้ ตามที่ระบุไว้ชีวิตของพระเจ้ามิเคยได้เริ่มต้นและดังนั้นจึงมิอาจจะสิ้นสุดได้และจะเป็นตลอดนิรันดร์กาล อ่านข้อความต่อไปนี้อย่างรอบคอบว่า “พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์แก่เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต” (1 ยอห์น 5: 11-12)
มันควรจะถูกย้ำว่า จะไม่มีผู้ใดหลงหายไปเพราะเขาเกิดมาในความบาปและมีชีวิตอยู่ในความบาป คำถามเกี่ยวกับความบาปจึงได้สำเร็จแล้วเพียงครั้งเดียวและสำหรับทุกคนเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกกระทำให้รับความบาปเพื่อพวกเรา ซึ่งโดยพระองค์พวกเราจะเป็นผู้ชอบธรรมที่แท้จริงของพระเจ้าได้ (โรม 3: 21-26) เฉพาะคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ในพระคริสต์ทรงคืนดีโลกกับพระองค์เอง ทรงยกโทษให้อภัยบาปทั้งปวง และการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของพวกเรา และทรงรับพวกเราเป็นบุตราและบุตรีของพระองค์ จะทรงสิ้นพระชนม์ในบาปทั้งหลายของพวกเขา (ยอห์น 8: 24)
ความเชื่อแท้ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดมิใช่เรื่องทางศาสนา แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเพื่อมนุษยชาติ ในพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เอง และดังนั้นชีวิตนิรันดร์จึงมาถึงพวกเราได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชื่อในพระคริสต์ ถ้าหากผู้ใดปรารถนาที่จะมีชีวิตนิรันดร์ “… ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3: 15) ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา (มาระโก 16: 16) คนทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่ในบาปแห่งความไม่เชื่อแยกตัวของพวกเขาเองจากพระเจ้า ถ้าหากผู้อ่านปรารถนาที่จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไป อย่าพยายามทำตามวิถีทางของคุณเองและผ่านทางการงานทั้งหลายของคุณเอง แต่ให้ยอมรับพระราชกิจอันทรงฤทธานุภาพของการไถ่ซึ่งประสบความสำเร็จในพระคริสต์ และพบความรอดนิรันดร์และการหยุดพักในพระเจ้า
หลังจากการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่พระที่นั่งพิพากษาสีขาว พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ทุกคนที่จะมีชีวิตอยู่ในนั้นจะไม่ระลึกถึงสิ่งเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา นั่นจะเป็นนิรันดร์กาลแห่งพระสิริ, ไม่มีความเจ็บป่วยอีกต่อไป, ไม่มีความเศร้าโศกอีกต่อไป, ไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป, ไม่มีความตายอีกต่อไป, ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ความสุขคือผู้ที่จะมีชีวิตนิรันดร์ในความปิติยินดีอันยิ่งใหญ่แห่งพระสิรินั้น ในที่สุดการรับใช้พระเจ้าในชีวิตบนโลกนี้จะคุ้มค่า สำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้นที่มีความหวังแห่งพระสิรินี้ จะเป็นการชุมนุมกันใหม่กับคนที่รักทุกคนที่ได้ล่วงหน้าไปก่อนพวกเรา พวกเขาจะได้พบกับพวกคนที่รักและเชื่อฟังพระเจ้า และคนที่รักกันและกันด้วย จำไว้ว่า ความรักที่สมบูรณ์แบบ - ความรักของพระเจ้า – เพียงเท่านั้นที่จะเข้าไปสู่ที่นั่นได้
ฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ได้ถูกสัญญาไว้แล้วในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่และจะปรากฏขึ้นเมื่อเวลาจะเสร็จสิ้น หลังจากการครองราชย์หนึ่งพันปีได้สิ้นสุดลงและการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่พระบัลลังก์สีขาวได้เกิดขึ้น “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และไม่เคยได้เข้าไปในใจมนุษย์ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”