ผู้คนถามคำถาม, พระเจ้าทรงตอบด้วยพระวจนะของพระองค์
คำถามที่ 23: ครอบครัวของผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นอย่างไร?
Font Face
Line Height
Paragraph Gap
Font Size
คำตอบ: อีกครั้งหนึ่งที่พวกเราจำเป็นต้องถามถึงสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมัทธิว บทที่ 5, 6 และ 7 พระเจ้าทรงเทศนาพระธรรมเทศนาที่ครอบคลุมทั้งหมดบนภูเขาแก่ฝูงชน ในตอนท้ายของบทเทศนาที่ยาวนานพวกเราอ่าน “และต่อมาครั้นพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้วประชาชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” (7:28)
ในมัทธิว บทที่ 10 พระเจ้าทรงกล่าวกับเหล่าสาวกสิบสองคนซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า เหล่าอัครสาวก มิใช่ฝูงชน เมื่อทรงกล่าวกับพวกเขาพระองค์ตรัสว่า “… ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย” (มัทธิว 10:14)
“ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า …” (ข้อ 16)
“… แต่เมื่อเขาข่มเหงท่านในนครนี้ จงหนีไปยังอีกนครหนึ่ง …” (ข้อ 23) พระเจ้ายังทรงใช้ถ้อยแถลงที่สำคัญ ซึ่งอาจตัดสินจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของคนบางคนได้อย่างดีมากว่า “ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา” (ข้อ 40) ทุกคนควรจะอ่านด้วยความใส่ใจอย่างมากที่พระเจ้าของพวกเราได้ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ได้ทรงบัญชา พวกเขาต้องไปจากเมืองหนึ่งยังอีกเมืองหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาแต่งงานแล้วหรือโสด การทรงเรียกเป็นพระดำรัสสั่ง
พระเยซูคริสต์ พระเจ้าของพวกเราส่งข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ไปยังคนทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเรียกให้ประกาศสันติสุข “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา ... และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน“ (มัทธิว 10: 34-36) นั่นคือ ความวุ่นวายในครอบครัวที่บอกล่วงหน้าซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในบ้านของนักเทศน์ แม้กระนั้นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องเทศนาสั่งสอนต่อไป ผู้รับใช้ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ทรงใช้ไปนั้นมิได้รับพระสัญญาถึงชีวิตครอบครัวที่ราบรื่นหรือพันธกิจที่น่าพอใจ พระเจ้ามิเคยตรัสว่า อัครสาวก, ผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ต้องแต่งงาน ไม่ว่าสถานภาพสมรสของผู้รับใช้ของพระเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาต้องเชื่อฟังต่อพระบัญชาของพระเจ้า
ให้จับตาดู ถ้อยคำทั้งหลายที่ส่งไปยังเหล่าผู้ปกครองในคริสตจักรท้องถิ่นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างไร ตามที่กล่าวไว้ใน 1 ทิโมธี 3 และ ทิตัส 1 เหล่าผู้ปกครองและมัคนายกต้องแต่งงาน ถ้อยแถลงที่ว่า “พวกเขาต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว” มิได้หมายความว่าคนอื่นๆ ทุกคนจะสามารถมีภรรยาได้หลายคนเท่าที่พวกเขาต้องการ มันหมายความว่าผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบบางสิ่งบางอย่างในคริสตจักรท้องถิ่นต้องแต่งงานเพราะเขาต้องจัดการกับปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่ประชุมท้องถิ่นนั้น ข้อความอ้างอิง: “พระคัมภีร์ไบเบิลต้องมีมัคนายกเป็นชายที่แต่งงานแล้ว เขาต้องเป็นสามีของภรรยาคนเดียว” (ซีโอดี, เล่ม 1, หน้า 354)
แล้วพระบุตรของพระเจ้า? แม้จะมีพันธกิจเหนือธรรมชาติของพระองค์ การทวีคูณของขนมปัง, การเยียวยารักษาโรคผู้คนที่เจ็บป่วย, การฟื้นคืนชีพของคนตาย, การสงบของพายุ, ฯลฯ พวกเราอ่าน “… แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็มิได้เชื่อในพระองค์” (ยอห์น 7:5) พวกเขารู้จักพระองค์ตามเนื้อหนัง ไม่ใช่ตามพระวิญญาณ ตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 13:53-58 บุตรมนุษย์มิอาจจะทรงกระทำสิ่งใดในเมืองของตัวเองได้เพราะความไม่เชื่อของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “พวกเรารู้จักเขา เขาเป็นลูกช่างไม้ พวกเรารู้จักมารดาของเขาชื่อมารีย์ พวกเรารู้จักน้องชายทั้งหลายของเขา พวกเรารู้จักน้องสาวทั้งหลายของเขา” และพวกเขาหมางใจเพราะพวกเขาตัดสินตามสิ่งที่ตาของพวกเขามองเห็นและสิ่งที่คนทั้งหลายกำลังพูดอยู่ จากนั้นตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 13:57b ว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในบ้านเมืองของตน และในครัวเรือนของตน”
มันทำให้พวกเราเจ็บปวดที่จะอ่านสิ่งที่พวกผู้นำทางศาสนาในสมัยนั้นกล่าวเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์กล่าวกับพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์ว่า “เรามิได้เกิดจากการล่วงประเวณี … ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ? ลองจินตนาการอย่างฉับพลันว่า พระเยซูคริสต์ของเรา พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าทรงถูกติดป้ายว่าเป็นชาวสะมาเรียซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกิดมาในการผิดประเวณี นั่นคือช่วงเวลาที่พระองค์ได้ทรงแถลงว่า “…เรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว … ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร” (ยอห์น 8:41-48)
ผู้รับใช้อาจจะคาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากพระเจ้าของเขาได้หรือ? มันแสดงให้เห็นว่า พระผู้ช่วยให้รอดมิได้เสด็จมาเพื่อสร้างครอบครัวตามธรรมชาติ หรือทรงเปลี่ยนพันธกิจของพระองค์ให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไร เช่นเดียวกับบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขามีการทรงเรียกที่สูงกว่าเพื่อจะรับใช้พระกายของพระคริสต์ การทรงเรียกซึ่งนอกเหนือไปจากความผูกพันทั้งหลายของครอบครัวฝ่ายธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังไม่มีพระสัญญาในพระวจนะของพระเจ้าสำหรับบุตรทั้งหลายของผู้เผยพระวจนะ หรืออัครสาวก หรือครูอาจารย์ ที่จะเป็นทายาททั้งหลายของพระบัญชาหรือการทรงเรียก ผู้เผยพระวจนะซามูเอลตั้งใจดีเมื่อเขาแต่งตั้งบุตรชายสองคนของเขาให้เป็นผู้วินิจฉัย แต่ “… พวกเขาได้หลีกเลี่ยงไปหาผลกำไร และรับสินบน และบิดเบือนการพิพากษาเสีย” (1 ซามูเอล 8:1-5) แม้แต่การตัดสินใจอย่างดีของผู้เผยพระวจนะก็ล้มเหลวได้ แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมิอาจจะล้มเหลวได้ นอกจากนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นได้ว่า บุตรชายของผู้เผยพระวจนะ, ของกษัตริย์ หรือของคนของพระเจ้าสามารถดำรงตำแหน่งและยกย่องตัวของเขาเอง ดึงผู้คนเข้ามาเพื่อจะติดตามเขา ตัวอย่างหนึ่งซึ่งถูกบันทึกไว้ใน 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 1 เมื่ออาโดนียาห์โอรสของดาวิดโดยพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “… เราจะเป็นกษัตริย์ … และท่านได้เตรียมรถม้าศึกและทหารม้า กับพลทหารวิ่งนำหน้าท่านห้าสิบคน” การตัดสินพระทัยของพระเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว: ซาโลมอนต้องเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของดาวิด พี่น้องทั้งหลายของท่าน อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าท่านควรจะได้ครองบัลลังก์
มันเป็นไปได้ยิ่งกว่านั้นที่บุตรชายทั้งหลายจะพูดกับตัวของพวกเขาเองและผู้อื่นว่า “ผมจะเป็นประธานาธิบดี!” “ผมจะเป็นผู้นำ!” “ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบ!” “ผมจะจัดการประชุม!” “ผมจะมีคริสตจักร ... ” “ผมจะ …” “ผมจะ …” ไม่ว่าสถานการณ์ส่วนตัวของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลาบรรดาผู้รับใช้ที่แท้จริงทุกท่านของพระเจ้าได้เชื่อฟังพระบัญชาของตน ซึ่งพระเจ้ามิอาจจะทรงนำกลับคืนมาได้ ไม่มีผู้รับใช้ของพระเจ้าคนใดเคยกล่าวว่า “ผมจะ… ผมอยากจะเป็น… ผมอยากจะทำสิ่งนี้หรืออย่างนั้น!” พวกเขาหลายคนไม่ได้ตั้งใจที่จะไปในตอนแรก แต่พวกเขาต้องไปเพราะการทรงเรียกของพระเจ้าคือปราศจากการกลับใจ ดังนั้นครอบครัวหรือไม่มีครอบครัว, แต่งงานแล้วหรือโสด, พระบัญชาของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์แห่งความรอด และจะต้องได้รับการดำเนินการภายใต้ทุกสถานการณ์และกรณีทั้งหลายทุกกรณี
คำตอบ: อีกครั้งหนึ่งที่พวกเราจำเป็นต้องถามถึงสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมัทธิว บทที่ 5, 6 และ 7 พระเจ้าทรงเทศนาพระธรรมเทศนาที่ครอบคลุมทั้งหมดบนภูเขาแก่ฝูงชน ในตอนท้ายของบทเทศนาที่ยาวนานพวกเราอ่าน “และต่อมาครั้นพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้วประชาชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” (7:28)
ในมัทธิว บทที่ 10 พระเจ้าทรงกล่าวกับเหล่าสาวกสิบสองคนซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า เหล่าอัครสาวก มิใช่ฝูงชน เมื่อทรงกล่าวกับพวกเขาพระองค์ตรัสว่า “… ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย” (มัทธิว 10:14)
“ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า …” (ข้อ 16)
“… แต่เมื่อเขาข่มเหงท่านในนครนี้ จงหนีไปยังอีกนครหนึ่ง …” (ข้อ 23) พระเจ้ายังทรงใช้ถ้อยแถลงที่สำคัญ ซึ่งอาจตัดสินจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของคนบางคนได้อย่างดีมากว่า “ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา” (ข้อ 40) ทุกคนควรจะอ่านด้วยความใส่ใจอย่างมากที่พระเจ้าของพวกเราได้ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ได้ทรงบัญชา พวกเขาต้องไปจากเมืองหนึ่งยังอีกเมืองหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาแต่งงานแล้วหรือโสด การทรงเรียกเป็นพระดำรัสสั่ง
พระเยซูคริสต์ พระเจ้าของพวกเราส่งข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้ไปยังคนทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงเรียกให้ประกาศสันติสุข “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา ... และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน“ (มัทธิว 10: 34-36) นั่นคือ ความวุ่นวายในครอบครัวที่บอกล่วงหน้าซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในบ้านของนักเทศน์ แม้กระนั้นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องเทศนาสั่งสอนต่อไป ผู้รับใช้ทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ทรงใช้ไปนั้นมิได้รับพระสัญญาถึงชีวิตครอบครัวที่ราบรื่นหรือพันธกิจที่น่าพอใจ พระเจ้ามิเคยตรัสว่า อัครสาวก, ผู้เผยพระวจนะ หรืออาจารย์ต้องแต่งงาน ไม่ว่าสถานภาพสมรสของผู้รับใช้ของพระเจ้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาต้องเชื่อฟังต่อพระบัญชาของพระเจ้า
ให้จับตาดู ถ้อยคำทั้งหลายที่ส่งไปยังเหล่าผู้ปกครองในคริสตจักรท้องถิ่นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างไร ตามที่กล่าวไว้ใน 1 ทิโมธี 3 และ ทิตัส 1 เหล่าผู้ปกครองและมัคนายกต้องแต่งงาน ถ้อยแถลงที่ว่า “พวกเขาต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว” มิได้หมายความว่าคนอื่นๆ ทุกคนจะสามารถมีภรรยาได้หลายคนเท่าที่พวกเขาต้องการ มันหมายความว่าผู้ชายที่มีหน้าที่รับผิดชอบบางสิ่งบางอย่างในคริสตจักรท้องถิ่นต้องแต่งงานเพราะเขาต้องจัดการกับปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่ประชุมท้องถิ่นนั้น ข้อความอ้างอิง: “พระคัมภีร์ไบเบิลต้องมีมัคนายกเป็นชายที่แต่งงานแล้ว เขาต้องเป็นสามีของภรรยาคนเดียว” (ซีโอดี, เล่ม 1, หน้า 354)
แล้วพระบุตรของพระเจ้า? แม้จะมีพันธกิจเหนือธรรมชาติของพระองค์ การทวีคูณของขนมปัง, การเยียวยารักษาโรคผู้คนที่เจ็บป่วย, การฟื้นคืนชีพของคนตาย, การสงบของพายุ, ฯลฯ พวกเราอ่าน “… แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็มิได้เชื่อในพระองค์” (ยอห์น 7:5) พวกเขารู้จักพระองค์ตามเนื้อหนัง ไม่ใช่ตามพระวิญญาณ ตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 13:53-58 บุตรมนุษย์มิอาจจะทรงกระทำสิ่งใดในเมืองของตัวเองได้เพราะความไม่เชื่อของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “พวกเรารู้จักเขา เขาเป็นลูกช่างไม้ พวกเรารู้จักมารดาของเขาชื่อมารีย์ พวกเรารู้จักน้องชายทั้งหลายของเขา พวกเรารู้จักน้องสาวทั้งหลายของเขา” และพวกเขาหมางใจเพราะพวกเขาตัดสินตามสิ่งที่ตาของพวกเขามองเห็นและสิ่งที่คนทั้งหลายกำลังพูดอยู่ จากนั้นตามที่กล่าวไว้ในมัทธิว 13:57b ว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในบ้านเมืองของตน และในครัวเรือนของตน”
มันทำให้พวกเราเจ็บปวดที่จะอ่านสิ่งที่พวกผู้นำทางศาสนาในสมัยนั้นกล่าวเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์กล่าวกับพระองค์ต่อพระพักตร์พระองค์ว่า “เรามิได้เกิดจากการล่วงประเวณี … ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ? ลองจินตนาการอย่างฉับพลันว่า พระเยซูคริสต์ของเรา พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าทรงถูกติดป้ายว่าเป็นชาวสะมาเรียซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกิดมาในการผิดประเวณี นั่นคือช่วงเวลาที่พระองค์ได้ทรงแถลงว่า “…เรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว … ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร” (ยอห์น 8:41-48)
ผู้รับใช้อาจจะคาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติแตกต่างจากพระเจ้าของเขาได้หรือ? มันแสดงให้เห็นว่า พระผู้ช่วยให้รอดมิได้เสด็จมาเพื่อสร้างครอบครัวตามธรรมชาติ หรือทรงเปลี่ยนพันธกิจของพระองค์ให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไร เช่นเดียวกับบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ พวกเขามีการทรงเรียกที่สูงกว่าเพื่อจะรับใช้พระกายของพระคริสต์ การทรงเรียกซึ่งนอกเหนือไปจากความผูกพันทั้งหลายของครอบครัวฝ่ายธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังไม่มีพระสัญญาในพระวจนะของพระเจ้าสำหรับบุตรทั้งหลายของผู้เผยพระวจนะ หรืออัครสาวก หรือครูอาจารย์ ที่จะเป็นทายาททั้งหลายของพระบัญชาหรือการทรงเรียก ผู้เผยพระวจนะซามูเอลตั้งใจดีเมื่อเขาแต่งตั้งบุตรชายสองคนของเขาให้เป็นผู้วินิจฉัย แต่ “… พวกเขาได้หลีกเลี่ยงไปหาผลกำไร และรับสินบน และบิดเบือนการพิพากษาเสีย” (1 ซามูเอล 8:1-5) แม้แต่การตัดสินใจอย่างดีของผู้เผยพระวจนะก็ล้มเหลวได้ แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งมิอาจจะล้มเหลวได้ นอกจากนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นได้ว่า บุตรชายของผู้เผยพระวจนะ, ของกษัตริย์ หรือของคนของพระเจ้าสามารถดำรงตำแหน่งและยกย่องตัวของเขาเอง ดึงผู้คนเข้ามาเพื่อจะติดตามเขา ตัวอย่างหนึ่งซึ่งถูกบันทึกไว้ใน 1 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 1 เมื่ออาโดนียาห์โอรสของดาวิดโดยพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “… เราจะเป็นกษัตริย์ … และท่านได้เตรียมรถม้าศึกและทหารม้า กับพลทหารวิ่งนำหน้าท่านห้าสิบคน” การตัดสินพระทัยของพระเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว: ซาโลมอนต้องเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ของดาวิด พี่น้องทั้งหลายของท่าน อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าท่านควรจะได้ครองบัลลังก์
มันเป็นไปได้ยิ่งกว่านั้นที่บุตรชายทั้งหลายจะพูดกับตัวของพวกเขาเองและผู้อื่นว่า “ผมจะเป็นประธานาธิบดี!” “ผมจะเป็นผู้นำ!” “ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบ!” “ผมจะจัดการประชุม!” “ผมจะมีคริสตจักร ... ” “ผมจะ …” “ผมจะ …” ไม่ว่าสถานการณ์ส่วนตัวของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลาบรรดาผู้รับใช้ที่แท้จริงทุกท่านของพระเจ้าได้เชื่อฟังพระบัญชาของตน ซึ่งพระเจ้ามิอาจจะทรงนำกลับคืนมาได้ ไม่มีผู้รับใช้ของพระเจ้าคนใดเคยกล่าวว่า “ผมจะ… ผมอยากจะเป็น… ผมอยากจะทำสิ่งนี้หรืออย่างนั้น!” พวกเขาหลายคนไม่ได้ตั้งใจที่จะไปในตอนแรก แต่พวกเขาต้องไปเพราะการทรงเรียกของพระเจ้าคือปราศจากการกลับใจ ดังนั้นครอบครัวหรือไม่มีครอบครัว, แต่งงานแล้วหรือโสด, พระบัญชาของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์แห่งความรอด และจะต้องได้รับการดำเนินการภายใต้ทุกสถานการณ์และกรณีทั้งหลายทุกกรณี