การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดนี้ พวกเราได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามว่า "แต่ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายทรงสถิตย์อยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตย์อยู่ในท่านทั้งหลาย” (โรม 8: 11) ที่นี่พวกเราไม่ได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับการเจิมซึ่งผู้คนหลายล้านคนได้รับ แต่เป็นเรื่อง “การทรงสถิตย์อยู่” คำว่า "ถ้า" ในข้อนี้มีความสำคัญมาก ถ้าฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา “การทำให้มีชีวิต” ของกายที่ไม่อมตะของมนุษย์จะเกิดขึ้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันก็จะไม่เกิดขึ้นได้ ตามพระวจนะของพระเจ้าของพวกเรา ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองจะมีพระคริสต์เทียมเท็จหลายคน “ผู้ได้รับการเจิมเทียมเท็จ” บางคนถึงกับมีการแสดงพวกหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่างๆ การแสดงตัวของพวกเขาเองด้วยพันธกิจดังที่เรียกกันว่า พันธกิจแห่งการเจิมทั้งหลาย ซึ่งแท้จริงแล้วมีรากในพวกหลักคำสอนของผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ (มัทธิว 7: 21; มัทธิว 24) พวกคนเหล่านั้นที่เรียกพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าจะทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์
ความเชื่อตามพระคัมภีร์ไบเบิลมักได้ทอดสมอในพระสัญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหลายไว้เสมอซึ่งให้ไว้กับพวกเราในพระวจนะว่า “บรรดาพระสัญญาของพระเจ้าก็เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมนโดยพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า” (2 โครินธ์ 1: 20) ความเชื่อแท้มาจากการเทศนาพระวจนะของพระเจ้า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็โดยการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า” (โรม 10: 17) นี่คือกรณีเกี่ยวกับความรอด, การเยียวยารักษาโรค และบรรดาพระสัญญาอื่นๆ ทั้งหมด และมันเป็นเช่นเดียวกันกับความเชื่อการรับขึ้นไป มันมาโดยคำเทศนา ณ เวลานั้นของพระวจนะที่ได้รับการเปิดเผยสำแดง ซึ่งความคาดหวังและความหวังของพวกเราตั้งอยู่ “และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความละอาย เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว” (โรม 5: 5) “บัดนี้ ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งเหล่านั้นที่ได้หวังไว้ เป็นพยานหลักฐานของสิ่งเหล่านั้นที่มองไม่เห็น” (ฮีบรู 11: 1)
พระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้ามักจะกระทำการงานด้วยกันในผู้ที่ได้รับการไถ่เสมอ พระวิญญาณแห่งพระสัญญาเสด็จมาเหนือคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้รับพระวจนะแห่งสัญญา การเจิมของพระวิญญาณไม่เพียงพอ – พระองค์ต้องทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา พระวิญญาณได้ทรงหยุดพักอยู่บนพระคริสต์และได้ทรงสถิตย์อยู่ในพระองค์ พระบุตรหัวปี หลังจากที่มาถึงพระองค์ (มัทธิว 3: 16) ดังนั้นพระกายของพระองค์จึงได้รับการอ้างถึง และเช่นเดียวกับกายฝ่ายธรรมชาติของพวกเรา พวกเราต้องมีสิทธิการบังเกิดและผลแรกของพระวิญญาณ (โรม 8: 23) “แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีของพระเจ้าเหมือนมองดูในกระจกและตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 3: 18)
ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของกายดินนี้จะต้องได้รับฤทธิ์อำนาจแห่งความเป็นอมตะของพระเจ้าภายในตัวของเขาเอง ชีวิตนิรันดร์สามารถสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์ที่แท้จริงของการบังเกิดใหม่และได้รับการประทับตราของพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายก็ได้วางใจเช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้เชื่อในพระองค์แล้วด้วย ท่านก็ได้รับการประทับตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับการที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วนั้น มาเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์” (เอเฟซัส 1: 13-14)
การเปลี่ยนแปลงของกายนี้จะไม่เกิดขึ้นจากภายนอก แต่เริ่มจากภายในและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันดับแรก จิตวิญญาณของพวกเรา ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ภายในต้องได้รับการฟื้นฟูใหม่ จากนั้นในที่สุดกายมนุษย์ทั้งหลายของพวกเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยพระวิญญาณผู้ทรงมีพระชนม์อยู่ของพระองค์ผู้ทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงในพวกเราซึ่งมันจะเกิดขึ้น
มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการเจิมของพระวิญญาณ ซึ่งพวกคนมากมายได้รับประสบการณ์ และการประทับตราโดยพระวิญญาณจนถึงวันแห่งการไถ่ของพวกเรา สิ่งนี้สามารถมีประสบการณ์ได้โดยที่คนทั้งหลายเหล่านั้นจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงของกายนี้เท่านั้น อับราฮัมได้รับการทรงเลือกและได้กลายเป็น “บิดาแห่งความเชื่อ” เขาได้รับพระสัญญาทั้งหลาย เชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า สิ่งนี้นับเป็นความชอบธรรมแก่เขา หลังจากที่เขาเชื่อพระวจนะแห่งพระสัญญาที่เขาได้รับแล้ว ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ (โรม 4) พระเจ้าได้ประทานการประทับตราแห่งการเข้าสุหนัตให้แก่เขา
การประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพวกคนเหล่านั้นที่ได้รับการทรงเรียกให้ออกมาเหมือนอับราฮัมเท่านั้น พวกเขาได้รับการเข้าสุหนัตในใจของพวกเขาและได้เข้าส่วนของธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ (เนื้อหาสาระ พระวจนะแห่งพระสัญญาสำหรับยุคนี้) และเชื่อเรื่องนี้ว่าพวกเขาได้รับความชอบธรรม อิสอัค บุตรซึ่งถูกทำนายไว้ของอับราฮัมคือ การบรรลุเป้าหมายของพระสัญญาที่เกิดขึ้นจริง และเขาได้กลายเป็นทายาทผู้รับมรดกร่วมของทุกสิ่ง อ. เปาโล เขียนเกี่ยวกับผู้เชื่อเช่นนี้ว่า “พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค” (กาลาเทีย 4: 28) “คือว่าเขาเหล่านั้นที่เป็นบุตรตามเนื้อหนังจะนับเป็นบุตรของพระเจ้าไม่ได้ แต่บุตรแห่งพระสัญญานั้นจึงจะนับเป็นเชื้อสายได้” (โรม 9: 8) พระวจนะแห่งพระสัญญา (โรม 9: 6) และพระวิญญาณแห่งพระสัญญา (กิจการ 2: 33) จะได้รับโดยคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เรียกว่า “บุตรแห่งพระสัญญา” และจะเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าและเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ (โรม 8: 15-17)
เพราะการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า พระเจ้าทรงสามารถกำหนดคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เชื่อในชีวิตนิรันดร์ และทรงเลือกสรรพวกเขาให้เป็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ (เอเฟซัส 1: 5) พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นพระฉายของพระบุตรของพระองค์ (โรม 8: 28-30)
ผู้เชื่อหลายคนมีประสบการณ์กับการเจิมของพระวิญญาณและอาจจะโอ้อวดในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนี้ได้ แต่กระนั้นดำเนินชีวิตในแนวทางของตัวของพวกเขาเองและมิได้แม้แต่พิจารณาการนำชีวิตของพวกเขาเข้าไปสู่ข้อตกลงกับพระวจนะของพระเจ้า พวกคนเหล่านี้ยังคงยึดมั่นอยู่ในมุมมองดั้งเดิมของพวกเขาและมองข้ามสัญญาทั้งหลายที่ให้ไว้กับคริสตจักรในช่วงเวลานี้ ในวิถีทางนี้พวกเขาเป็นพยานถึงตัวของพวกเขาเอง–ว่าพวกเขาไม่มีส่วนในพระราชกิจสุดท้ายที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำให้เสร็จสมบูรณ์ เฉพาะพวกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระวจนะแห่งพระสัญญาสำหรับเวลานี้ที่สามารถเดินไปกับพระเจ้าได้ เพื่อจะทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย พวกเราจะต้องอยู่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระวจนะทั้งหมด
อ. เปาโล เป็นอัครสาวกที่เขียนเกี่ยวกับการปรากฏสำแดงของบุตรทั้งหลายของพระเจ้า และท่านได้เน้นอย่างชัดเจนมากถึงส่วนสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับมันว่า “ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า” (โรม 8: 14) พระเยซูตรัสว่า พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาและทรงนำทางพวกเราไปสู่ความจริงทั้งหมดและจะทรงเปิดเผยสิ่งที่จะเกิดขึ้น (ยอห์น 16: 13) พวกคนเหล่านั้นที่เป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจริงๆ และได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเชื่อและเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าทุกถ้อยคำ พวกเขาได้รับการตักเตือนแก่พวกเขาว่า “และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด” (เอเฟซัส 4: 30) พวกเขาเป็นเพียงพวกเดียวเท่านั้นที่จะได้ยินสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย แต่ผู้ใดก็ตามที่ติดตามความคิดและจินตนาการของตนเองจะไม่รับรู้ว่า พระเจ้าทรงมีผู้ส่งสาส์นเจ็ดท่านในคริสตจักรเจ็ดยุค ทั้งนี้พวกเขามิอาจจะตระหนักได้ว่าพระเจ้าได้ประทานคำเทศนาของพระองค์ให้แก่คริสตจักรผ่านทูตสวรรค์ที่เกี่ยวข้องในยุคนั้น แต่ละคำเทศนาของเจ็ดคำเทศนาถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 2+3) เปิดด้วยถ้อยคำต่อไปนี้: “และถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักร … เขียน … ”; และปิดด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย”
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดนี้ พวกเราได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามว่า "แต่ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายทรงสถิตย์อยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย *โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตย์อยู่ในท่านทั้งหลาย”* (โรม 8: 11) ที่นี่พวกเราไม่ได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับการเจิมซึ่งผู้คนหลายล้านคนได้รับ แต่เป็นเรื่อง “การทรงสถิตย์อยู่” คำว่า "ถ้า" ในข้อนี้มีความสำคัญมาก ถ้าฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา “การทำให้มีชีวิต” ของกายที่ไม่อมตะของมนุษย์จะเกิดขึ้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันก็จะไม่เกิดขึ้นได้ ตามพระวจนะของพระเจ้าของพวกเรา ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองจะมีพระคริสต์เทียมเท็จหลายคน “ผู้ได้รับการเจิมเทียมเท็จ” บางคนถึงกับมีการแสดงพวกหมายสำคัญและการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่างๆ การแสดงตัวของพวกเขาเองด้วยพันธกิจดังที่เรียกกันว่า พันธกิจแห่งการเจิมทั้งหลาย ซึ่งแท้จริงแล้วมีรากในพวกหลักคำสอนของผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ (มัทธิว 7: 21; มัทธิว 24) พวกคนเหล่านั้นที่เรียกพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าจะทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์
ความเชื่อตามพระคัมภีร์ไบเบิลมักได้ทอดสมอในพระสัญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหลายไว้เสมอซึ่งให้ไว้กับพวกเราในพระวจนะว่า “บรรดาพระสัญญาของพระเจ้าก็เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมนโดยพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า” (2 โครินธ์ 1: 20) ความเชื่อแท้มาจากการเทศนาพระวจนะของพระเจ้า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็โดยการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า” (โรม 10: 17) นี่คือกรณีเกี่ยวกับความรอด, การเยียวยารักษาโรค และบรรดาพระสัญญาอื่นๆ ทั้งหมด และมันเป็นเช่นเดียวกันกับความเชื่อการรับขึ้นไป มันมาโดยคำเทศนา ณ เวลานั้นของพระวจนะที่ได้รับการเปิดเผยสำแดง ซึ่งความคาดหวังและความหวังของพวกเราตั้งอยู่ “และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความละอาย เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว” (โรม 5: 5) “บัดนี้ ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งเหล่านั้นที่ได้หวังไว้ เป็นพยานหลักฐานของสิ่งเหล่านั้นที่มองไม่เห็น” (ฮีบรู 11: 1)
พระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้ามักจะกระทำการงานด้วยกันในผู้ที่ได้รับการไถ่เสมอ พระวิญญาณแห่งพระสัญญาเสด็จมาเหนือคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้รับพระวจนะแห่งสัญญา การเจิมของพระวิญญาณไม่เพียงพอ – พระองค์ต้องทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา พระวิญญาณได้ทรงหยุดพักอยู่บนพระคริสต์และได้ทรงสถิตย์อยู่ในพระองค์ พระบุตรหัวปี หลังจากที่มาถึงพระองค์ (มัทธิว 3: 16) ดังนั้นพระกายของพระองค์จึงได้รับการอ้างถึง และเช่นเดียวกับกายฝ่ายธรรมชาติของพวกเรา พวกเราต้องมีสิทธิการบังเกิดและผลแรกของพระวิญญาณ (โรม 8: 23) “แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงแลดูสง่าราศีของพระเจ้าเหมือนมองดูในกระจกและตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้าคือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เช่นอย่างสง่าราศีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 3: 18)
ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของกายดินนี้จะต้องได้รับฤทธิ์อำนาจแห่งความเป็นอมตะของพระเจ้าภายในตัวของเขาเอง ชีวิตนิรันดร์สามารถสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์ที่แท้จริงของการบังเกิดใหม่และได้รับการประทับตราของพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ในพระองค์นั้นท่านทั้งหลายก็ได้วางใจเช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้เชื่อในพระองค์แล้วด้วย ท่านก็ได้รับการประทับตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา ผู้ทรงเป็นมัดจำแห่งมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับการที่พระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วนั้น มาเป็นกรรมสิทธิ์เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่สง่าราศีของพระองค์” (เอเฟซัส 1: 13-14)
การเปลี่ยนแปลงของกายนี้จะไม่เกิดขึ้นจากภายนอก แต่เริ่มจากภายในและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันดับแรก จิตวิญญาณของพวกเรา ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ภายในต้องได้รับการฟื้นฟูใหม่ จากนั้นในที่สุดกายมนุษย์ทั้งหลายของพวกเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยพระวิญญาณผู้ทรงมีพระชนม์อยู่ของพระองค์ผู้ทรงสถิตย์อยู่ในพวกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงในพวกเราซึ่งมันจะเกิดขึ้น
มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการเจิมของพระวิญญาณ ซึ่งพวกคนมากมายได้รับประสบการณ์ และการประทับตราโดยพระวิญญาณจนถึงวันแห่งการไถ่ของพวกเรา สิ่งนี้สามารถมีประสบการณ์ได้โดยที่คนทั้งหลายเหล่านั้นจะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงของกายนี้เท่านั้น อับราฮัมได้รับการทรงเลือกและได้กลายเป็น “บิดาแห่งความเชื่อ” เขาได้รับพระสัญญาทั้งหลาย เชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า สิ่งนี้นับเป็นความชอบธรรมแก่เขา หลังจากที่เขาเชื่อพระวจนะแห่งพระสัญญาที่เขาได้รับแล้ว ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ (โรม 4) พระเจ้าได้ประทานการประทับตราแห่งการเข้าสุหนัตให้แก่เขา
การประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพวกคนเหล่านั้นที่ได้รับการทรงเรียกให้ออกมาเหมือนอับราฮัมเท่านั้น พวกเขาได้รับการเข้าสุหนัตในใจของพวกเขาและได้เข้าส่วนของธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ (เนื้อหาสาระ พระวจนะแห่งพระสัญญาสำหรับยุคนี้) และเชื่อเรื่องนี้ว่าพวกเขาได้รับความชอบธรรม อิสอัค บุตรซึ่งถูกทำนายไว้ของอับราฮัมคือ การบรรลุเป้าหมายของพระสัญญาที่เกิดขึ้นจริง และเขาได้กลายเป็นทายาทผู้รับมรดกร่วมของทุกสิ่ง อ. เปาโล เขียนเกี่ยวกับผู้เชื่อเช่นนี้ว่า “พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค” (กาลาเทีย 4: 28) “คือว่าเขาเหล่านั้นที่เป็นบุตรตามเนื้อหนังจะนับเป็นบุตรของพระเจ้าไม่ได้ แต่บุตรแห่งพระสัญญานั้นจึงจะนับเป็นเชื้อสายได้” (โรม 9: 8) พระวจนะแห่งพระสัญญา (โรม 9: 6) และพระวิญญาณแห่งพระสัญญา (กิจการ 2: 33) จะได้รับโดยคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เรียกว่า “บุตรแห่งพระสัญญา” และจะเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าและเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ (โรม 8: 15-17)
เพราะการทรงรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า พระเจ้าทรงสามารถกำหนดคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เชื่อในชีวิตนิรันดร์ และทรงเลือกสรรพวกเขาให้เป็นบุตรทั้งหลายของพระองค์ (เอเฟซัส 1: 5) พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นพระฉายของพระบุตรของพระองค์ (โรม 8: 28-30)
ผู้เชื่อหลายคนมีประสบการณ์กับการเจิมของพระวิญญาณและอาจจะโอ้อวดในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายนี้ได้ แต่กระนั้นดำเนินชีวิตในแนวทางของตัวของพวกเขาเองและมิได้แม้แต่พิจารณาการนำชีวิตของพวกเขาเข้าไปสู่ข้อตกลงกับพระวจนะของพระเจ้า พวกคนเหล่านี้ยังคงยึดมั่นอยู่ในมุมมองดั้งเดิมของพวกเขาและมองข้ามสัญญาทั้งหลายที่ให้ไว้กับคริสตจักรในช่วงเวลานี้ ในวิถีทางนี้พวกเขาเป็นพยานถึงตัวของพวกเขาเอง–ว่าพวกเขาไม่มีส่วนในพระราชกิจสุดท้ายที่พระเจ้ากำลังทรงกระทำให้เสร็จสมบูรณ์ เฉพาะพวกคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระวจนะแห่งพระสัญญาสำหรับเวลานี้ที่สามารถเดินไปกับพระเจ้าได้ เพื่อจะทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย พวกเราจะต้องอยู่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระวจนะทั้งหมด
อ. เปาโล เป็นอัครสาวกที่เขียนเกี่ยวกับการปรากฏสำแดงของบุตรทั้งหลายของพระเจ้า และท่านได้เน้นอย่างชัดเจนมากถึงส่วนสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับมันว่า “ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด คนเหล่านั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า” (โรม 8: 14) พระเยซูตรัสว่า พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาและทรงนำทางพวกเราไปสู่ความจริงทั้งหมดและจะทรงเปิดเผยสิ่งที่จะเกิดขึ้น (ยอห์น 16: 13) พวกคนเหล่านั้นที่เป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจริงๆ และได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเชื่อและเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าทุกถ้อยคำ พวกเขาได้รับการตักเตือนแก่พวกเขาว่า “และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด” (เอเฟซัส 4: 30) พวกเขาเป็นเพียงพวกเดียวเท่านั้นที่จะได้ยินสิ่งที่พระวิญญาณตรัสแก่คริสตจักรทั้งหลาย แต่ผู้ใดก็ตามที่ติดตามความคิดและจินตนาการของตนเองจะไม่รับรู้ว่า พระเจ้าทรงมีผู้ส่งสาส์นเจ็ดท่านในคริสตจักรเจ็ดยุค ทั้งนี้พวกเขามิอาจจะตระหนักได้ว่าพระเจ้าได้ประทานคำเทศนาของพระองค์ให้แก่คริสตจักรผ่านทูตสวรรค์ที่เกี่ยวข้องในยุคนั้น แต่ละคำเทศนาของเจ็ดคำเทศนาถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด (วิวรณ์ 2+3) เปิดด้วยถ้อยคำต่อไปนี้: “และถึงทูตสวรรค์แห่งคริสตจักร … เขียน … ”; และปิดด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลาย”