การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้รู้แจ้งเกี่ยวกับตารางเวลาของพระเจ้าสำหรับพวกคนอิสราเอล ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจเวลาต่างๆ ซึ่งได้ให้ไว้ที่นี่ จะสามารถวางเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างการรับขึ้นไปและการเริ่มต้นแห่งการครองราชย์หนึ่งพันปีได้ ในดาเนียล 9: 24-27 พวกเราอ่านเกี่ยวกับเจ็ดสิบ “สัปดาห์” ซึ่งไม่ใช่สัปดาห์ของวัน แต่เป็นสัปดาห์ของปี ตามที่ผู้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลทุกคนเข้าใจ การพูดเชิงเผยพระวจนะ สิ่งเหล่านี้คือ เจ็ดสิบสัปดาห์ของปีทั้งหลาย และตามที่อาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากข้อ 24 เรื่องนี้เกี่ยวข้องเฉพาะกับประชาชนของดาเนียล, พวกคนอิสราเอล และกรุงเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์
มีวงจำกัดของเวลาสามครั้งที่ให้ไว้: ครั้งแรก, เจ็ดสัปดาห์ของปีทั้งหลาย; ครั้งที่สอง, หกสิบสองสัปดาห์ของปีทั้งหลาย; ครั้งที่สาม, หนึ่งสัปดาห์ของปีทั้งหลาย สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะพระคริสต์พระเมสสิยาห์ต้องถูกตัดออกเมื่อสิ้นสุดหกสิบสองสัปดาห์ถัดจากนั้นหรือหลังจากเจ็ดสัปดาห์ที่อธิบายไว้แล้ว (ในข้อ 26) ในข้อ 27 พวกเราอ่าน “และท่าน (ประมุข ผู้ต่อต้านพระคริสต์) จะยืนยันพันธสัญญากับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์ และในระหว่างกลางสัปดาห์นั้นท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไป และเพราะเหตุมีความสะอิดสะเอียนแพร่กระจายไปทั่ว ท่านจะกระทำให้มันร้างเปล่าจนสำเร็จเสร็จสิ้น และสิ่งที่กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้ที่ร้างเปล่านั้น”
ตั้งแต่พระบัญชาเพื่อสร้างกรุงเยรูซาเล็ม (445 B. C.) ขึ้นมาใหม่ดำเนินไปจนกระทั่งพระเมสสิยาห์, เจ้าชายทรงถูกตัดออก (เช่น ทรงถูกตรึงกางเขน) เป็นเจ็ดสัปดาห์และหกสิบสองสัปดาห์ ซึ่งเท่ากับ 69 x 7 = 483 ปีอย่างแน่นอน ทันทีที่เวลาสำหรับประชาชาติทั้งหลายของคนต่างชาติสิ้นสุดลง พระเจ้าทรงเริ่มสัปดาห์สุดท้าย; สามปีครึ่งแรกสำหรับการประกาศของพยานทั้งสอง และส่วนที่สองสำหรับความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่
ในทันทีทันใดที่ซาตาน งูใหญ่ดึกดำบรรพ์ถูกขับไล่ออกไปจากสวรรค์ พระคัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องนี้ที่กล่าวว่า: “วิบัติจะมีแก่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินโลกและทะเล! เพราะว่าพญามารได้ลงมาหาเจ้าด้วยความโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย" (วิวรณ์ 12: 12) เห็นได้ชัดว่า ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้อ้างถึงช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการรับเจ้าสาวของพระคริสต์ไปและการเริ่มการครองราชย์หนึ่งพันปี ในช่วงเวลานี้ซาตานจะเทความขุ่นเคืองของมันลงบนแผ่นดินโลกโดยผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นมันจะกลับมาปรากฏตัวใหม่ในตัวแทนของมันคือ คนนอกกฏหมาย (2 เธสะโลนิกา 2: 8) เขาไม่ประสบความสำเร็จในการกลืนกินผู้ได้รับการทรงเลือกสรร คริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ ซึ่งได้มาถึง “เต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” (เอเฟซัส 4: 13) ด้วยเหตุนี้วิวรณ์ บทที่ 12 กล่าวถึง "บุตรชายคนนั้น" งูใหญ่ (ซาตาน) จะโกรธต่อต้านคริสตจักร – ผู้หญิงนั้นจะยังคงอยู่เบื้องหลังนอกจากนั้นยังให้กำเนิดบุตรชายคนนั้น “ผู้ซึ่งจะครอบครองประชาชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก” (วิวรณ์ 12: 5) พระสัญญานี้ “เพื่อครอบครองบรรดาประชาชาติ” ไม่เพียงแต่อ้างถึงพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังเป็นพระสัญญาหนึ่งในเจ็ดพระสัญญาที่ประทานให้กับผู้ที่มีชัยชนะทั้งหลายด้วย “ผู้ใดมีชัยชนะและถือรักษากิจการของเราไว้จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีอำนาจครอบครองบรรดาประชาชาติ และผู้นั้นจะบังคับบัญชาคนทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก” (วิวรณ์ 2: 26-27)
ในคำเผยพระวจนะตามพระคัมภีร์ไบเบิล สัญลักษณ์ของภรรยาถูกใช้ในพันธสัญญาเดิมสำหรับพวกคนอิสราเอลและสำหรับคริสตจักรในพันธสัญญาใหม่ด้วยเช่นกัน ในหนังสือวิวรณ์พวกเราเห็นคริสตจักรสองคริสตจักรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ: คริสตจักรแห่งหนึ่งของพระคริสต์ และอีกคริสตจักรแห่งหนึ่งของผู้ต่อต้านพระคริสต์ คริสตจักรที่แท้จริงได้แสดงในวิวรณ์ บทที่ 12 และคริสตจักรของผู้ต่อต้านพระคริสต์ในวิวรณ์ บทที่ 17 ยอห์นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมกับดวงอาทิตย์ นี่หมายความว่า คริสตจักรในพันธสัญญาใหม่สวมใส่ด้วยพระเยซูคริสต์ ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม ดวงจันทร์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้หญิงนั้นเป็นรากฐานที่นางยืนอยู่: คำเผยพระวจนะที่ออกมาในช่วงเวลาของพันธสัญญาเดิม ในขณะที่ดวงจันทร์สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ ดังนั้นพันธสัญญาเดิมจึงได้รับการส่องสว่างจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อจะแสดงให้พวกเราเห็นถึงการตอบสนองตามคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาใหม่ มงกุฎดาวสิบสองดวงของผู้หญิงนั้นเล็งถึงหลักคำสอนของเหล่าอัครสาวกสิบสองท่านซึ่งสวมมงกุฎคริสตจักรพันธสัญญาใหม่
ในทุกยุคทุกสมัยมีผู้ได้รับการทรงเลือกและผู้ได้รับการทรงเรียก ฝูงชนจำนวนมากของพวกผู้ที่มีชัยชนะซึ่งถูกทรงสร้างขึ้นมาจากพวกผู้ได้รับการทรงเลือกสรร คริสตจักรที่ยังหลงเหลืออยู่ข้างหลังประกอบไปด้วยพวกผู้ได้รับการทรงเรียก พวกเขาสะอาดและบริสุทธิ์ด้วยเช่นกันดั่งที่พระเจ้าของพวกเราได้ตรัสไว้ในคำอุปมาอุปไมยของมัทธิว บทที่ 25 เป็นดั่งพวกหญิงพรหมจารีที่ฉลาด แต่พวกหญิงพรหมจารีที่โง่ (ในการเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่เป็นพวกหญิงพรหมจารีที่ฉลาดซึ่งจะเข้าไปในการอภิเษกสมรส)
คริสตจักรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ข้างหลังไม่ได้ตกอยู่ในมือของซาตาน แต่จะยังคงอยู่และได้รับการเลี้ยงดูเยี่ยงพวกคนอิสราเอลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร “และหญิงนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่นตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน … เพื่อให้นางบินหนีหน้างูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ ... ” (วิวรณ์ 12: 6+14) แม้แต่ช่วงระยะเวลาที่แน่ชัดนั้นนางจะได้รับการดูแล
หลังจากนี้พวกเราจะเห็นกลุ่มที่สาม “พญานาคโกรธแค้นผู้หญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับเชื้อสายของนางที่เหลืออยู่นั้น คือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และยึดถือคำพยานของพระเยซูคริสต์” (วิวรณ์ 12: 17) มันเป็นเชื้อสายเดียวกัน แต่มีประเภทต่างกัน พวกคนเหล่านั้นที่ถูกกล่าวถึงในที่นี่เป็นเพียงพวกคนอิสราเอล 144,000 คนเท่านั้น เพราะว่าทุกคนอาจจะรู้ว่าผู้หญิงในคำเผยพระวจนะเป็นตัวแทนของคริสตจักร พวกเราจะพูดคุยโดยย่อถึง 144,000 คน ซึ่งเขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิงเพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี” (วิวรณ์ 14: 4) ข้อนี้หมายความว่า 144,000 คน จะไม่เคยอยู่ในคริสตจักรหรือนิกายคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วจะได้รับการทรงเรียกออกมาและประทับตราไว้ภายใต้พันธกิจของผู้เผยพระวจนะทั้งสอง หลังจากการรับคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ไปแล้ว แต่ก่อนความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหง (วิวรณ์ 7: 1-8)
ตามที่กล่าวไว้ในวิวรณ์ บทที่ 11 ผู้เผยพระวจนะทั้งสองจะมีพันธกิจของพวกเขาเป็นระยะเวลาสามปีครึ่ง โดยพวกคน 144,000 คน จากทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล (วิวรณ์ 7: 3-8) จะถูกประทับตราไว้ ในข้อ 3 พวกเราอ่าน “อย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้าของเราเสียก่อน” นี่หมายความว่า ในช่วงสามปีครึ่งนั้นการพิพากษาของพระเจ้าจะไม่ตกลงมา จนกระทั่งการประทับตราของ 144,000 คนจะเสร็จสมบูรณ์ ในเวลานั้นคำเผยพระวจนะของเศคาริยาห์จะสำเร็จตามนั้น พระวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนทั้งหลายจะเทลงมาเหนืออิสราเอล "และเขาทั้งหลายจะมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน …" (12: 10-11)
ชาวยิวไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ของพวกเขาตั้งแต่การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่ได้รับพระองค์ (ยอห์น 1: 11) ในลักษณะเดียวกับที่โยเซฟในพันธสัญญาเดิมได้บอกกับพี่น้องของเขาในการไปเยือนอียิปต์ครั้งที่สองของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจดจำเขาได้ ดังนั้นมันจะเป็นกับพระเมสสิยาห์ เมื่อพระองค์เสด็จมาที่อิสราเอลครั้งที่สองพวกเขาจะมองขึ้นไปยังพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขาได้แทง โยเซฟได้ละทิ้งเจ้าสาวของเขาผู้ซึ่งเขาได้นำออกมาจากพวกคนต่างชาติ ในพระราชวังไล่ทุกคนออกไปในขณะที่เขาทำให้ตัวของเขาเองเป็นที่รู้จักแก่พี่น้องของเขา “จงให้ทุกคนออกไปเสียจากเราเถิด และไม่มีผู้ใดยืนอยู่กับท่าน ขณะที่โยเซฟแจ้งให้พี่น้องของท่านรู้จักตัวท่าน” (ปฐมกาล 45: 1)
ในทำนองเดียวกันพระคริสต์ได้ทรงเลือกเจ้าสาวของพระองค์จากบรรดาประชาชาติ พระองค์จะทรงรับนางไปพิธีอภิเษกสมรส ทรงปล่อยให้นางอยู่ในพระราชวังบนฟ้าสวรรค์ เพื่อการเสด็จกลับมาตามลำพังเพื่อจะทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองต่อพี่น้องของพระองค์ทันทีที่พวกเขาทุกคนได้รับการประทับตรา นี่จะเป็นการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์หลังจากการเสด็จกลับมาและการรับขึ้นไป ยอห์นได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงเป็นพระเมษโปดกกับคนจำนวน 144,000 คน บนภูเขาศิโยน ในเวลานั้นภูเขาศิโยนจะเป็นจุดศูนย์กลางของพระราชกิจอันทรงฤทธานุภาพทั้งหลายของพระเจ้าซึ่งจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก “และบนภูเขานี้พระองค์จะทรงทำลายผ้าคลุมหน้าซึ่งคลุมหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย และม่านซึ่งกางอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ” (อิสยาห์ 25: 7)
ในเวลานั้นพวกคนอิสราเอลจะยอมรับพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับพวกเขาว่ายังคงมีผล เมื่อพระเจ้าได้เสด็จลงมาเพื่อประทานพระราชบัญญัติบนภูเขาศิโยน พระองค์ได้ทรงปรากฏในรูปร่างและพระกายของทูตสวรรค์ที่มองเห็นได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงได้รับการกล่าวถึงในฐานะ “ทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญา” (มาลาคี 3: 1) สเทเฟนได้กล่าวถึงโมเสสโดยอ้างถึงทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาในกิจการ 7 : 38 ว่า “โมเสสนี้แหละที่ได้อยู่ในคริสตจักรในถิ่นทุรกันดารกับทูตสวรรค์ซึ่งได้ตรัสแก่ท่านที่ภูเขาซีนายและอยู่กับบรรพบุรุษของเรา”
หลังจากที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เป็นที่รู้จักแก่พี่น้องของพระองค์ พวกคนยิว พระองค์จะทรงวางพระบาทของพระองค์ลงบนพื้นดินและทะเลในฐานะเจ้าของดั้งเดิมและอ้างสิทธิ์ตามวิวรณ์บทที่ 10 นี่จะเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์หลังจากการเสด็จกลับมาและการรับเจ้าสาวของพระคริสต์ไปสู่พระสิริ “และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ” (วิวรณ์ 10: 1) รุ้งในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หมายถึง หมายสำคัญแห่งพันธสัญญา (ปฐมกาล 9: 13-16) ในความเป็นจริงคำว่า "พันธสัญญา" ปรากฏขึ้น 7 ครั้งในบทนั้น และรุ้งถูกกล่าวถึง 5 ครั้ง ในฐานะที่เป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญา
ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้เห็นพระเจ้าบนพระบัลลังก์และกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเห็นเหมือนไฟ และมีความสุกใสที่อยู่รอบท่านผู้นั้น ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้นเหมือน กับสัณฐานของรุ้งที่ปรากฏในเมฆในวันที่ฝนตก” (เอเสเคียล 1: 27b-28) เกือบจะพบคำอธิบายเดียวกันในวิวรณ์ 4: 2-3 “ดูเถิด มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจพลอยหยกและพลอยทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งพลอยมรกต” รุ้งที่อยู่เหนือพระเศียรของทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะต้องทำให้ชัดแจ้งว่าพันธสัญญาใหม่นั้นใช้ได้กับพวกคนอิสราเอล “นี่แหละเป็นพันธสัญญาของเรากับเขาทั้งหลาย เมื่อเราจะยกโทษบาปของเขา” (โรม 11: 27; ฮีบรู 8: 6-13)
“และท่านถือหนังสือเล็กๆ ม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน” (วิวรณ์ 10: 2) สิ่งนี้มีความหมายอย่างชัดเจนมากว่า หนังสือที่ได้ถูกปิดผนึกไว้ด้านหลังมีตราประทับทั้งเจ็ดในเวลาของการเสด็จมาได้ถูกเปิดแล้ว (วิวรณ์ บทที่ 5) ตอนนี้ท่านวางเท้าขวาของท่านลงบนทะเลและเท้าซ้ายของท่านบนโลกและร้อง "ด้วยเสียงอันดังราวกับสิงโตคำราม" ที่นี่พวกเราเห็นการเปลี่ยนแปลงจากพระเมษโปดก ซึ่งกล่าวถึงการไถ่, สำหรับสิงโตซึ่งหมายถึง จอมกษัตริย์
สำหรับพวกผู้ที่ได้รับการประทับตรา 144,000 คน พระองค์เสด็จมาในฐานะพระผู้ไถ่ – พระเมษโปดก “คนเหล่านี้เป็นคนที่พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก” (วิวรณ์ 14: 4) ในความเกี่ยวข้องเรื่องเดียวกันผู้เผยพระวจนะโฮเชยาเขียนไว้ว่า “เขาทั้งหลายจะติดตามพระเยโฮวาห์ไป พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามเหมือนสิงโต เมื่อพระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำราม ขณะนั้นบุตรทั้งหลายของพระองค์จะตัวสั่นสะท้านมาจากทิศตะวันตก” (โฮเชยา 11: 10) คำที่คล้ายกันนี้พบในผู้เผยพระวจนะอาโมส คือ “พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน และจะทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม” (1: 2) “พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน ทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม และฟ้าสวรรค์กับพิภพก็จะหวั่นไหว แต่พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความหวังแห่งประชาชนของพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของชนชาติอิสราเอล" (โยเอล 3: 16)
ในวิวรณ์ 5: 5 พระเจ้าของเรายังได้ตรัสเหมือนสิงโตอีกว่า "ดูเถิด สิงโตของเผ่ายูดาห์ เป็นมูลรากของดาวิด พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและทรงคลี่หนังสือนั้นออกได้" เมื่อยาโคบได้อวยพรยูดาห์บุตรชายของเขาแล้ว เขาได้กล่าวด้วยการดลใจจากพระวิญญาณด้วยคำพูดนี้ว่า "ยูดาห์เป็นลูกสิงโต … ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะรวบรวมเข้ากับผู้นั้น” (ปฐมกาล 49: 9-10)
“และเมื่อท่านร้องแล้ว เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดเสียงก็ดังขึ้น” (วิวรณ์ 10: 3) ไม่ใช่ก่อนหน้านี้! เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส มันเหมือนเสียงคำรามของฟ้าแลบ “จงตั้งใจฟังกัมปนาทแห่งพระสุรเสียงของพระองค์ ... พระเจ้าทรงแผดอย่างน่าประหลาดด้วยพระสุรเสียงของพระองค์” (โยบ 37: 2--5) “แล้วก็มีพระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า ... ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็พูดว่าฟ้าร้อง” (ยอห์น 12: 28-29) สิ่งที่เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้เปล่งออกมานั้นได้รับการประทับตราและไม่ได้รับการบันทึกไว้ ดังนั้นจึงมิอาจจะเทศนาได้เพราะมันมิได้เป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการบันทึกไว้ มันเกี่ยวข้องกับการกระทำทั้งหลายในขั้นสุดท้ายและเป็นความลับของพระเจ้าในเวลานั้น ในโอกาสนี้ทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธานุภาพชูมือขวาของพระองค์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ “และปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดินโลกนั้น และทรงสร้างทะเลกับสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในทะเลนั้น ว่าจะไม่มีการเนิ่นช้า (ล่าช้า) อีกต่อไปแล้ว” (วิวรณ์ 10: 6)
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลในบทที่ 12 เห็นเหตุการณ์เดียวกันในตัวอย่าง เขาถามว่ามันจะนานแค่ไหนจน กว่าสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้จะสิ้นสุด คำตอบนั้นชัดเจนมาก“…เขาได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ” (ข้อ 7) จากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่เวลาของการปฏิญาณของทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธิ์ มีเวลาสามปีครึ่งอย่างแน่นอนในการบรรลุถึงความไพบูลย์และการเริ่มต้นในการครองราชย์ยุคพันปี อาเมน
ขอให้พวกเราสรุปโดยย่อตอนนี้: ผู้เผยพระวจนะสองท่านจะรับใช้ในพันธกิจของพวกเขาเป็นเวลาสามปีครึ่ง ในช่วงระยะเวลานี้ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องพวกเขาได้เพราะว่าพวกเขามีสิทธิอำนาจของพระเจ้า “… ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเขาเผาผลาญศัตรูผู้นั้นของพวกเขา …” (วิวรณ์ 11: 5-6) พันธกิจของพวกเขาตักเตือนพวกเราอย่างแน่ทีเดียวเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะพิเศษทั้งสองคือ โมเสสและเอลียาห์ การยืนยันว่า เอโนคน่าจะเป็นหนึ่งในสองพยานนั้นไม่ตรงกับภาพที่นี่ เอโนคเป็นคนที่เจ็ดจากอาดัมและดังนั้นจึงเป็นประเภทที่สมบูรณ์แบบของพวกคนเหล่านั้นที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและถูกรับขึ้นไปในตอนสุดท้ายของยุคนี้โดยไม่ต้องลิ้มรสความตาย โมเสสและเอลียาห์ได้ลงมาบนภูเขาจำแลงพระกายด้วย (มัทธิว บทที่ 17) ทั้งสองท่านได้ถูกกล่าวถึงในสามข้อสุดท้ายในพันธสัญญาเดิม
ผลที่ตามมาจากการเทศนาและการเผยพระวจนะของพยานทั้งสองในตอนท้ายของพันธกิจของพวกเขา พวกคนยิว 144,000 คน ได้รับการประทับตราบนภูเขาศิโยน สำหรับพวกเขาพระเจ้าเสด็จมาและทรงกระทำให้พระองค์เองเป็นที่รู้จักในฐานะพระเมสสิยาห์ พระเมษโปดกของพระเจ้า ในเวลานั้นพวกคนอิสราเอลเหล่านั้น (144,000 คน) ได้ตระหนักอย่างมากถึงความถูกต้องของพันธสัญญาใหม่ พวกเขาตระหนักถึงผู้ต่อต้านพระคริสต์ ผู้ซึ่งต่อจากนั้นได้หักพันธสัญญา (ดาเนียล 9: 27) ขณะนี้ในเวลาแห่งความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหงเริ่มขึ้นใน “…และยอมให้มันทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน และชนะพวกเขา” (วิวรณ์ 13: 5-7) ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้เผยพระวจนะเกี่ยวกับพวกวิสุทธิชนขององค์ผู้สูงสุด “… เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในมือของท่าน ตลอดหนึ่งวาระ สองวาระ กับครึ่งวาระ” (ดาเนียล 7: 25)
หลังจากพยานทั้งสองมาถึงจุดสิ้นสุดของคำพยานของพวกเขา พวกเขาจะถูกสังหาร (วิวรณ์ 11: 7) ในช่วงระยะเวลาอันน่าสะพรึงกลัวของการข่มเหงนี้ 144,000 คน จะถูกสังหารในฐานะพวกผู้พลีชีพ ตามที่กล่าวไว้ในตราประทับที่ห้า พวกเขาจะต้องมอบชีวิตของพวกเขาเหมือนพี่น้องของพวกเขาที่ได้ไปก่อนพวกเขา ในการอ้างอิงถึงเรื่องนี้พวกเราต้องอ่านวิวรณ์ 14: 12 ว่า “นี่แหละคือความอดทนของพวกวิสุทธิชน คือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และความเชื่อของพระเยซูไว้” สิ่งนี้จะเกิดขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ในเวลานั้น “และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในพระเจ้าจะได้รับพร” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขา และการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป” (ข้อ 13)
พระเจ้าของเราได้ทรงบอกล่วงหน้าถึงการกระจัดกระจายของชนชาติอิสราเอลในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ พระองค์ได้ทรงบอกพวกเราไว้ด้วยว่า พระองค์จะทรงนำพวกเขากลับมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา ในการเชื่อมโยงกับเรื่องนี้พวกเราสามารถอ่านได้ว่า “คนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน” (ลูกา 21: 24)
ในตราประทับที่ห้า (วิวรณ์ 6: 9-11) พวกเราอ่านเกี่ยวกับวิญญาณทั้งหลายใต้แท่นบูชาที่ถูกสังหารเพื่อพระวจนะของพระเจ้า และสำหรับคำพยานที่พวกเขายึดถือ พวกผู้พลีชีพเหล่านั้นไม่มีคำพยานของพระเยซูคริสต์ พวกเขายึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่มีการเปิดเผยว่าพระเยซูคริสต์คือพระเมสสิยาห์ พวกเขาไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้นกลุ่มนี้จึงประกอบด้วยพวกคนยิวทุกคนที่ถูกฆาตกรรมและถูกสังหารเพียงเพราะพวกเขาเป็นชาวยิวตลอดระยะเวลาหลังจากการเสด็จมาครั้งแรกของพระเมสสิยาห์ เพราะว่าพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ความรอด พวกเขาจึงร้องไห้เพื่อการแก้แค้น พวกคนเหล่านั้นที่ได้รับการไถ่จะอธิษฐานว่า “พระบิดา ขอทรงยกโทษให้อภัยพวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่” พวกคนเหล่านี้ภายใต้ตราประทับที่ห้าร้องว่า “โอ พระเจ้า องค์บริสุทธิ์และจริงแท้ นานแค่ไหนที่พระองค์จะทรงพิพากษาและทรงแก้แค้นโลหิตของข้าพระองค์ทั้งหลายบนพวกเขาผู้ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก?" พระเจ้าผู้พิพากษาผู้ทรงชอบธรรม ทรงให้ทุกคนมีเสื้อคลุมสีขาว “และมีคำกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเขาควรจะพักสักครู่หนึ่งจนกว่าผู้รับใช้และพี่น้องของพวกเขาจะต้องถูกสังหารเหมือนที่พวกเขาเคยเป็นจะเกิดขึ้น”
คำว่า "บ่าว" ในการเชื่อมโยงกันนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับพวกยุคสมัยของคริสตจักรในยุคพันธสัญญาใหม่ พวกเราเป็นพวกบุตราและบุตรีของพระเจ้า นั่นคือความสัมพันธ์ของพวกเรากับพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ในฐานะลูกๆ ของพระองค์ ในคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ไบเบิล พวกคนอิสราเอลถูกเรียกว่า พวกบ่าวและสาวใช้ และมิใช่พวกบุตราและบุตรี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า 144,000 คน ซึ่งได้ถูกกล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ (วิวรณ์ 6: 11) เป็นผลของพันธกิจของพยานทั้งสองและจะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์เวทนาและการข่มเหงจากผู้ต่อต้านพระคริสต์เป็นเวลาสามปีครึ่ง
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้รู้แจ้งเกี่ยวกับตารางเวลาของพระเจ้าสำหรับพวกคนอิสราเอล ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจเวลาต่างๆ ซึ่งได้ให้ไว้ที่นี่ จะสามารถวางเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นระหว่างการรับขึ้นไปและการเริ่มต้นแห่งการครองราชย์หนึ่งพันปีได้ ในดาเนียล 9: 24-27 พวกเราอ่านเกี่ยวกับเจ็ดสิบ “สัปดาห์” ซึ่งไม่ใช่สัปดาห์ของวัน แต่เป็นสัปดาห์ของปี ตามที่ผู้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลทุกคนเข้าใจ การพูดเชิงเผยพระวจนะ สิ่งเหล่านี้คือ เจ็ดสิบสัปดาห์ของปีทั้งหลาย และตามที่อาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากข้อ 24 เรื่องนี้เกี่ยวข้องเฉพาะกับประชาชนของดาเนียล, พวกคนอิสราเอล และกรุงเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์
มีวงจำกัดของเวลาสามครั้งที่ให้ไว้: ครั้งแรก, เจ็ดสัปดาห์ของปีทั้งหลาย; ครั้งที่สอง, หกสิบสองสัปดาห์ของปีทั้งหลาย; ครั้งที่สาม, หนึ่งสัปดาห์ของปีทั้งหลาย สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เพราะพระคริสต์พระเมสสิยาห์ต้องถูกตัดออกเมื่อสิ้นสุดหกสิบสองสัปดาห์ถัดจากนั้นหรือหลังจากเจ็ดสัปดาห์ที่อธิบายไว้แล้ว (ในข้อ 26) ในข้อ 27 พวกเราอ่าน “และท่าน (ประมุข ผู้ต่อต้านพระคริสต์) จะยืนยันพันธสัญญากับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์* และในระหว่างกลางสัปดาห์นั้นท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไป และเพราะเหตุมีความสะอิดสะเอียนแพร่กระจายไปทั่ว ท่านจะกระทำให้มันร้างเปล่าจนสำเร็จเสร็จสิ้น และสิ่งที่กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้ที่ร้างเปล่านั้น*”
ตั้งแต่พระบัญชาเพื่อสร้างกรุงเยรูซาเล็ม (445 B. C.) ขึ้นมาใหม่ดำเนินไปจนกระทั่งพระเมสสิยาห์, เจ้าชายทรงถูกตัดออก (เช่น ทรงถูกตรึงกางเขน) เป็นเจ็ดสัปดาห์และหกสิบสองสัปดาห์ ซึ่งเท่ากับ 69 x 7 = 483 ปีอย่างแน่นอน ทันทีที่เวลาสำหรับประชาชาติทั้งหลายของคนต่างชาติสิ้นสุดลง พระเจ้าทรงเริ่มสัปดาห์สุดท้าย; สามปีครึ่งแรกสำหรับการประกาศของพยานทั้งสอง และส่วนที่สองสำหรับความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่
ในทันทีทันใดที่ซาตาน งูใหญ่ดึกดำบรรพ์ถูกขับไล่ออกไปจากสวรรค์ พระคัมภีร์ไบเบิลมีเรื่องนี้ที่กล่าวว่า: “วิบัติจะมีแก่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินโลกและทะเล! เพราะว่าพญามารได้ลงมาหาเจ้าด้วยความโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย" (วิวรณ์ 12: 12) เห็นได้ชัดว่า ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้อ้างถึงช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างการรับเจ้าสาวของพระคริสต์ไปและการเริ่มการครองราชย์หนึ่งพันปี ในช่วงเวลานี้ซาตานจะเทความขุ่นเคืองของมันลงบนแผ่นดินโลกโดยผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นมันจะกลับมาปรากฏตัวใหม่ในตัวแทนของมันคือ คนนอกกฏหมาย (2 เธสะโลนิกา 2: 8) เขาไม่ประสบความสำเร็จในการกลืนกินผู้ได้รับการทรงเลือกสรร คริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ ซึ่งได้มาถึง “เต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” (เอเฟซัส 4: 13) ด้วยเหตุนี้วิวรณ์ บทที่ 12 กล่าวถึง "บุตรชายคนนั้น" งูใหญ่ (ซาตาน) จะโกรธต่อต้านคริสตจักร – ผู้หญิงนั้นจะยังคงอยู่เบื้องหลังนอกจากนั้นยังให้กำเนิดบุตรชายคนนั้น “ผู้ซึ่งจะครอบครองประชาชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก” (วิวรณ์ 12: 5) พระสัญญานี้ “เพื่อครอบครองบรรดาประชาชาติ” ไม่เพียงแต่อ้างถึงพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังเป็นพระสัญญาหนึ่งในเจ็ดพระสัญญาที่ประทานให้กับผู้ที่มีชัยชนะทั้งหลายด้วย “ผู้ใดมีชัยชนะและถือรักษากิจการของเราไว้จนถึงที่สุด เราจะให้ผู้นั้นมีอำนาจครอบครองบรรดาประชาชาติ และผู้นั้นจะบังคับบัญชาคนทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก” (วิวรณ์ 2: 26-27)
ในคำเผยพระวจนะตามพระคัมภีร์ไบเบิล สัญลักษณ์ของภรรยาถูกใช้ในพันธสัญญาเดิมสำหรับพวกคนอิสราเอลและสำหรับคริสตจักรในพันธสัญญาใหม่ด้วยเช่นกัน ในหนังสือวิวรณ์พวกเราเห็นคริสตจักรสองคริสตจักรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ: คริสตจักรแห่งหนึ่งของพระคริสต์ และอีกคริสตจักรแห่งหนึ่งของผู้ต่อต้านพระคริสต์ คริสตจักรที่แท้จริงได้แสดงในวิวรณ์ บทที่ 12 และคริสตจักรของผู้ต่อต้านพระคริสต์ในวิวรณ์ บทที่ 17 ยอห์นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมกับดวงอาทิตย์ นี่หมายความว่า คริสตจักรในพันธสัญญาใหม่สวมใส่ด้วยพระเยซูคริสต์ ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม ดวงจันทร์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้หญิงนั้นเป็นรากฐานที่นางยืนอยู่: คำเผยพระวจนะที่ออกมาในช่วงเวลาของพันธสัญญาเดิม ในขณะที่ดวงจันทร์สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ ดังนั้นพันธสัญญาเดิมจึงได้รับการส่องสว่างจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อจะแสดงให้พวกเราเห็นถึงการตอบสนองตามคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาใหม่ มงกุฎดาวสิบสองดวงของผู้หญิงนั้นเล็งถึงหลักคำสอนของเหล่าอัครสาวกสิบสองท่านซึ่งสวมมงกุฎคริสตจักรพันธสัญญาใหม่
ในทุกยุคทุกสมัยมีผู้ได้รับการทรงเลือกและผู้ได้รับการทรงเรียก ฝูงชนจำนวนมากของพวกผู้ที่มีชัยชนะซึ่งถูกทรงสร้างขึ้นมาจากพวกผู้ได้รับการทรงเลือกสรร คริสตจักรที่ยังหลงเหลืออยู่ข้างหลังประกอบไปด้วยพวกผู้ได้รับการทรงเรียก พวกเขาสะอาดและบริสุทธิ์ด้วยเช่นกันดั่งที่พระเจ้าของพวกเราได้ตรัสไว้ในคำอุปมาอุปไมยของมัทธิว บทที่ 25 เป็นดั่งพวกหญิงพรหมจารีที่ฉลาด แต่พวกหญิงพรหมจารีที่โง่ (ในการเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่เป็นพวกหญิงพรหมจารีที่ฉลาดซึ่งจะเข้าไปในการอภิเษกสมรส)
คริสตจักรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ข้างหลังไม่ได้ตกอยู่ในมือของซาตาน แต่จะยังคงอยู่และได้รับการเลี้ยงดูเยี่ยงพวกคนอิสราเอลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร “และหญิงนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่นตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน … เพื่อให้นางบินหนีหน้างูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ ... ” (วิวรณ์ 12: 6+14) แม้แต่ช่วงระยะเวลาที่แน่ชัดนั้นนางจะได้รับการดูแล
หลังจากนี้พวกเราจะเห็นกลุ่มที่สาม “พญานาคโกรธแค้นผู้หญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับเชื้อสายของนางที่เหลืออยู่นั้น คือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และยึดถือคำพยานของพระเยซูคริสต์” (วิวรณ์ 12: 17) มันเป็นเชื้อสายเดียวกัน แต่มีประเภทต่างกัน พวกคนเหล่านั้นที่ถูกกล่าวถึงในที่นี่เป็นเพียงพวกคนอิสราเอล 144,000 คนเท่านั้น เพราะว่าทุกคนอาจจะรู้ว่าผู้หญิงในคำเผยพระวจนะเป็นตัวแทนของคริสตจักร พวกเราจะพูดคุยโดยย่อถึง 144,000 คน ซึ่งเขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิงเพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี” (วิวรณ์ 14: 4) ข้อนี้หมายความว่า 144,000 คน จะไม่เคยอยู่ในคริสตจักรหรือนิกายคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วจะได้รับการทรงเรียกออกมาและประทับตราไว้ภายใต้พันธกิจของผู้เผยพระวจนะทั้งสอง หลังจากการรับคริสตจักรเจ้าสาวของพระคริสต์ไปแล้ว แต่ก่อนความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหง (วิวรณ์ 7: 1-8)
ตามที่กล่าวไว้ในวิวรณ์ บทที่ 11 ผู้เผยพระวจนะทั้งสองจะมีพันธกิจของพวกเขาเป็นระยะเวลาสามปีครึ่ง โดยพวกคน 144,000 คน จากทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล (วิวรณ์ 7: 3-8) จะถูกประทับตราไว้ ในข้อ 3 พวกเราอ่าน “อย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากผู้รับใช้ทั้งหลายของพระเจ้าของเราเสียก่อน” นี่หมายความว่า ในช่วงสามปีครึ่งนั้นการพิพากษาของพระเจ้าจะไม่ตกลงมา จนกระทั่งการประทับตราของ 144,000 คนจะเสร็จสมบูรณ์ ในเวลานั้นคำเผยพระวจนะของเศคาริยาห์จะสำเร็จตามนั้น พระวิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนทั้งหลายจะเทลงมาเหนืออิสราเอล "และเขาทั้งหลายจะมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่าน …" (12: 10-11)
ชาวยิวไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ของพวกเขาตั้งแต่การเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่ได้รับพระองค์ (ยอห์น 1: 11) ในลักษณะเดียวกับที่โยเซฟในพันธสัญญาเดิมได้บอกกับพี่น้องของเขาในการไปเยือนอียิปต์ครั้งที่สองของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจดจำเขาได้ ดังนั้นมันจะเป็นกับพระเมสสิยาห์ เมื่อพระองค์เสด็จมาที่อิสราเอลครั้งที่สองพวกเขาจะมองขึ้นไปยังพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขาได้แทง โยเซฟได้ละทิ้งเจ้าสาวของเขาผู้ซึ่งเขาได้นำออกมาจากพวกคนต่างชาติ ในพระราชวังไล่ทุกคนออกไปในขณะที่เขาทำให้ตัวของเขาเองเป็นที่รู้จักแก่พี่น้องของเขา “จงให้ทุกคนออกไปเสียจากเราเถิด และไม่มีผู้ใดยืนอยู่กับท่าน ขณะที่โยเซฟแจ้งให้พี่น้องของท่านรู้จักตัวท่าน” (ปฐมกาล 45: 1)
ในทำนองเดียวกันพระคริสต์ได้ทรงเลือกเจ้าสาวของพระองค์จากบรรดาประชาชาติ พระองค์จะทรงรับนางไปพิธีอภิเษกสมรส ทรงปล่อยให้นางอยู่ในพระราชวังบนฟ้าสวรรค์ เพื่อการเสด็จกลับมาตามลำพังเพื่อจะทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองต่อพี่น้องของพระองค์ทันทีที่พวกเขาทุกคนได้รับการประทับตรา นี่จะเป็นการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์หลังจากการเสด็จกลับมาและการรับขึ้นไป ยอห์นได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงเป็นพระเมษโปดกกับคนจำนวน 144,000 คน บนภูเขาศิโยน ในเวลานั้นภูเขาศิโยนจะเป็นจุดศูนย์กลางของพระราชกิจอันทรงฤทธานุภาพทั้งหลายของพระเจ้าซึ่งจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก “และบนภูเขานี้พระองค์จะทรงทำลายผ้าคลุมหน้าซึ่งคลุมหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย และม่านซึ่งกางอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ” (อิสยาห์ 25: 7)
ในเวลานั้นพวกคนอิสราเอลจะยอมรับพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับพวกเขาว่ายังคงมีผล เมื่อพระเจ้าได้เสด็จลงมาเพื่อประทานพระราชบัญญัติบนภูเขาศิโยน พระองค์ได้ทรงปรากฏในรูปร่างและพระกายของทูตสวรรค์ที่มองเห็นได้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงได้รับการกล่าวถึงในฐานะ “ทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญา” (มาลาคี 3: 1) สเทเฟนได้กล่าวถึงโมเสสโดยอ้างถึงทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาในกิจการ 7 : 38 ว่า “โมเสสนี้แหละที่ได้อยู่ในคริสตจักรในถิ่นทุรกันดารกับทูตสวรรค์ซึ่งได้ตรัสแก่ท่านที่ภูเขาซีนายและอยู่กับบรรพบุรุษของเรา”
หลังจากที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองให้เป็นที่รู้จักแก่พี่น้องของพระองค์ พวกคนยิว พระองค์จะทรงวางพระบาทของพระองค์ลงบนพื้นดินและทะเลในฐานะเจ้าของดั้งเดิมและอ้างสิทธิ์ตามวิวรณ์บทที่ 10 นี่จะเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์หลังจากการเสด็จกลับมาและการรับเจ้าสาวของพระคริสต์ไปสู่พระสิริ “และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ” (วิวรณ์ 10: 1) รุ้งในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หมายถึง หมายสำคัญแห่งพันธสัญญา (ปฐมกาล 9: 13-16) ในความเป็นจริงคำว่า "พันธสัญญา" ปรากฏขึ้น 7 ครั้งในบทนั้น และรุ้งถูกกล่าวถึง 5 ครั้ง ในฐานะที่เป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญา
ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้เห็นพระเจ้าบนพระบัลลังก์และกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าเห็นเหมือนไฟ และมีความสุกใสที่อยู่รอบท่านผู้นั้น ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้นเหมือน กับสัณฐานของรุ้งที่ปรากฏในเมฆในวันที่ฝนตก” (เอเสเคียล 1: 27b-28) เกือบจะพบคำอธิบายเดียวกันในวิวรณ์ 4: 2-3 “ดูเถิด มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นปรากฏประดุจพลอยหยกและพลอยทับทิม และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งพลอยมรกต” รุ้งที่อยู่เหนือพระเศียรของทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะต้องทำให้ชัดแจ้งว่าพันธสัญญาใหม่นั้นใช้ได้กับพวกคนอิสราเอล “นี่แหละเป็นพันธสัญญาของเรากับเขาทั้งหลาย เมื่อเราจะยกโทษบาปของเขา” (โรม 11: 27; ฮีบรู 8: 6-13)
“และท่านถือหนังสือเล็กๆ ม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน” (วิวรณ์ 10: 2) สิ่งนี้มีความหมายอย่างชัดเจนมากว่า หนังสือที่ได้ถูกปิดผนึกไว้ด้านหลังมีตราประทับทั้งเจ็ดในเวลาของการเสด็จมาได้ถูกเปิดแล้ว (วิวรณ์ บทที่ 5) ตอนนี้ท่านวางเท้าขวาของท่านลงบนทะเลและเท้าซ้ายของท่านบนโลกและร้อง "ด้วยเสียงอันดังราวกับสิงโตคำราม" ที่นี่พวกเราเห็นการเปลี่ยนแปลงจากพระเมษโปดก ซึ่งกล่าวถึงการไถ่, สำหรับสิงโตซึ่งหมายถึง จอมกษัตริย์
สำหรับพวกผู้ที่ได้รับการประทับตรา 144,000 คน พระองค์เสด็จมาในฐานะพระผู้ไถ่ – พระเมษโปดก “คนเหล่านี้เป็นคนที่พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก” (วิวรณ์ 14: 4) ในความเกี่ยวข้องเรื่องเดียวกันผู้เผยพระวจนะโฮเชยาเขียนไว้ว่า “เขาทั้งหลายจะติดตามพระเยโฮวาห์ไป พระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำรามเหมือนสิงโต เมื่อพระองค์จะทรงเปล่งเสียงคำราม ขณะนั้นบุตรทั้งหลายของพระองค์จะตัวสั่นสะท้านมาจากทิศตะวันตก” (โฮเชยา 11: 10) คำที่คล้ายกันนี้พบในผู้เผยพระวจนะอาโมส คือ “พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน และจะทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม” (1: 2) “พระเยโฮวาห์จะทรงเปล่งเสียงคำรามจากศิโยน ทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม และฟ้าสวรรค์กับพิภพก็จะหวั่นไหว แต่พระเยโฮวาห์จะทรงเป็นความหวังแห่งประชาชนของพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของชนชาติอิสราเอล" (โยเอล 3: 16)
ในวิวรณ์ 5: 5 พระเจ้าของเรายังได้ตรัสเหมือนสิงโตอีกว่า "ดูเถิด สิงโตของเผ่ายูดาห์ เป็นมูลรากของดาวิด พระองค์ทรงมีชัยแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถแกะตราทั้งเจ็ดดวงและทรงคลี่หนังสือนั้นออกได้" เมื่อยาโคบได้อวยพรยูดาห์บุตรชายของเขาแล้ว เขาได้กล่าวด้วยการดลใจจากพระวิญญาณด้วยคำพูดนี้ว่า "ยูดาห์เป็นลูกสิงโต … ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ทรงตั้งพระราชบัญญัติจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะรวบรวมเข้ากับผู้นั้น” (ปฐมกาล 49: 9-10)
“และเมื่อท่านร้องแล้ว เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดเสียงก็ดังขึ้น” (วิวรณ์ 10: 3) ไม่ใช่ก่อนหน้านี้! เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส มันเหมือนเสียงคำรามของฟ้าแลบ “จงตั้งใจฟังกัมปนาทแห่งพระสุรเสียงของพระองค์ ... พระเจ้าทรงแผดอย่างน่าประหลาดด้วยพระสุรเสียงของพระองค์” (โยบ 37: 2--5) “แล้วก็มีพระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า ... ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็พูดว่าฟ้าร้อง” (ยอห์น 12: 28-29) สิ่งที่เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้เปล่งออกมานั้นได้รับการประทับตราและไม่ได้รับการบันทึกไว้ ดังนั้นจึงมิอาจจะเทศนาได้เพราะมันมิได้เป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับการบันทึกไว้ มันเกี่ยวข้องกับการกระทำทั้งหลายในขั้นสุดท้ายและเป็นความลับของพระเจ้าในเวลานั้น ในโอกาสนี้ทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธานุภาพชูมือขวาของพระองค์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ “และปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดินโลกนั้น และทรงสร้างทะเลกับสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในทะเลนั้น ว่าจะไม่มีการเนิ่นช้า (ล่าช้า) อีกต่อไปแล้ว” (วิวรณ์ 10: 6)
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลในบทที่ 12 เห็นเหตุการณ์เดียวกันในตัวอย่าง เขาถามว่ามันจะนานแค่ไหนจน กว่าสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้จะสิ้นสุด คำตอบนั้นชัดเจนมาก“…เขาได้ยกมือขวาและมือซ้ายของท่านสู่ฟ้าสวรรค์ และข้าพเจ้าได้ยินท่านปฏิญาณอ้างพระผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ว่า ยังอีกวาระหนึ่ง สองวาระ และครึ่งวาระ” (ข้อ 7) จากข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่เวลาของการปฏิญาณของทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธิ์ มีเวลาสามปีครึ่งอย่างแน่นอนในการบรรลุถึงความไพบูลย์และการเริ่มต้นในการครองราชย์ยุคพันปี อาเมน
ขอให้พวกเราสรุปโดยย่อตอนนี้: ผู้เผยพระวจนะสองท่านจะรับใช้ในพันธกิจของพวกเขาเป็นเวลาสามปีครึ่ง ในช่วงระยะเวลานี้ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องพวกเขาได้เพราะว่าพวกเขามีสิทธิอำนาจของพระเจ้า “… ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเขาเผาผลาญศัตรูผู้นั้นของพวกเขา …” (วิวรณ์ 11: 5-6) พันธกิจของพวกเขาตักเตือนพวกเราอย่างแน่ทีเดียวเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะพิเศษทั้งสองคือ โมเสสและเอลียาห์ การยืนยันว่า เอโนคน่าจะเป็นหนึ่งในสองพยานนั้นไม่ตรงกับภาพที่นี่ เอโนคเป็นคนที่เจ็ดจากอาดัมและดังนั้นจึงเป็นประเภทที่สมบูรณ์แบบของพวกคนเหล่านั้นที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงและถูกรับขึ้นไปในตอนสุดท้ายของยุคนี้โดยไม่ต้องลิ้มรสความตาย โมเสสและเอลียาห์ได้ลงมาบนภูเขาจำแลงพระกายด้วย (มัทธิว บทที่ 17) ทั้งสองท่านได้ถูกกล่าวถึงในสามข้อสุดท้ายในพันธสัญญาเดิม
ผลที่ตามมาจากการเทศนาและการเผยพระวจนะของพยานทั้งสองในตอนท้ายของพันธกิจของพวกเขา พวกคนยิว 144,000 คน ได้รับการประทับตราบนภูเขาศิโยน สำหรับพวกเขาพระเจ้าเสด็จมาและทรงกระทำให้พระองค์เองเป็นที่รู้จักในฐานะพระเมสสิยาห์ พระเมษโปดกของพระเจ้า ในเวลานั้นพวกคนอิสราเอลเหล่านั้น (144,000 คน) ได้ตระหนักอย่างมากถึงความถูกต้องของพันธสัญญาใหม่ พวกเขาตระหนักถึงผู้ต่อต้านพระคริสต์ ผู้ซึ่งต่อจากนั้นได้หักพันธสัญญา (ดาเนียล 9: 27) ขณะนี้ในเวลาแห่งความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหงเริ่มขึ้นใน “…และยอมให้มันทำสงครามกับพวกวิสุทธิชน และชนะพวกเขา” (วิวรณ์ 13: 5-7) ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้เผยพระวจนะเกี่ยวกับพวกวิสุทธิชนขององค์ผู้สูงสุด “… เขาทั้งหลายจะถูกมอบไว้ในมือของท่าน ตลอดหนึ่งวาระ สองวาระ กับครึ่งวาระ” (ดาเนียล 7: 25)
หลังจากพยานทั้งสองมาถึงจุดสิ้นสุดของคำพยานของพวกเขา พวกเขาจะถูกสังหาร (วิวรณ์ 11: 7) ในช่วงระยะเวลาอันน่าสะพรึงกลัวของการข่มเหงนี้ 144,000 คน จะถูกสังหารในฐานะพวกผู้พลีชีพ ตามที่กล่าวไว้ในตราประทับที่ห้า พวกเขาจะต้องมอบชีวิตของพวกเขาเหมือนพี่น้องของพวกเขาที่ได้ไปก่อนพวกเขา ในการอ้างอิงถึงเรื่องนี้พวกเราต้องอ่านวิวรณ์ 14: 12 ว่า “นี่แหละคือความอดทนของพวกวิสุทธิชน คือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และความเชื่อของพระเยซูไว้” สิ่งนี้จะเกิดขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ในเวลานั้น “และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในพระเจ้าจะได้รับพร” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขา และการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป” (ข้อ 13)
พระเจ้าของเราได้ทรงบอกล่วงหน้าถึงการกระจัดกระจายของชนชาติอิสราเอลในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ พระองค์ได้ทรงบอกพวกเราไว้ด้วยว่า พระองค์จะทรงนำพวกเขากลับมาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา ในการเชื่อมโยงกับเรื่องนี้พวกเราสามารถอ่านได้ว่า “คนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน” (ลูกา 21: 24)
ในตราประทับที่ห้า (วิวรณ์ 6: 9-11) พวกเราอ่านเกี่ยวกับวิญญาณทั้งหลายใต้แท่นบูชาที่ถูกสังหารเพื่อพระวจนะของพระเจ้า และสำหรับคำพยานที่พวกเขายึดถือ พวกผู้พลีชีพเหล่านั้นไม่มีคำพยานของพระเยซูคริสต์ พวกเขายึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่มีการเปิดเผยว่าพระเยซูคริสต์คือพระเมสสิยาห์ พวกเขาไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้นกลุ่มนี้จึงประกอบด้วยพวกคนยิวทุกคนที่ถูกฆาตกรรมและถูกสังหารเพียงเพราะพวกเขาเป็นชาวยิวตลอดระยะเวลาหลังจากการเสด็จมาครั้งแรกของพระเมสสิยาห์ เพราะว่าพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ความรอด พวกเขาจึงร้องไห้เพื่อการแก้แค้น พวกคนเหล่านั้นที่ได้รับการไถ่จะอธิษฐานว่า “พระบิดา ขอทรงยกโทษให้อภัยพวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่” พวกคนเหล่านี้ภายใต้ตราประทับที่ห้าร้องว่า “โอ พระเจ้า องค์บริสุทธิ์และจริงแท้ นานแค่ไหนที่พระองค์จะทรงพิพากษาและทรงแก้แค้นโลหิตของข้าพระองค์ทั้งหลายบนพวกเขาผู้ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก?" พระเจ้าผู้พิพากษาผู้ทรงชอบธรรม ทรงให้ทุกคนมีเสื้อคลุมสีขาว “และมีคำกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเขาควรจะพักสักครู่หนึ่งจนกว่าผู้รับใช้และพี่น้องของพวกเขาจะต้องถูกสังหารเหมือนที่พวกเขาเคยเป็นจะเกิดขึ้น”
คำว่า "บ่าว" ในการเชื่อมโยงกันนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับพวกยุคสมัยของคริสตจักรในยุคพันธสัญญาใหม่ พวกเราเป็นพวกบุตราและบุตรีของพระเจ้า นั่นคือความสัมพันธ์ของพวกเรากับพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ในฐานะลูกๆ ของพระองค์ ในคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ไบเบิล พวกคนอิสราเอลถูกเรียกว่า พวกบ่าวและสาวใช้ และมิใช่พวกบุตราและบุตรี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า 144,000 คน ซึ่งได้ถูกกล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ (วิวรณ์ 6: 11) เป็นผลของพันธกิจของพยานทั้งสองและจะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์เวทนาและการข่มเหงจากผู้ต่อต้านพระคริสต์เป็นเวลาสามปีครึ่ง