การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
“ทันทีหลังจากความทุกข์เวทนาในวันทั้งหลายเหล่านั้น ดวงอาทิตย์ก็จะมืดและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของมัน” (อิสยาห์ 13: 10; โยเอล 2: 30-32; วิวรณ์ 6: 12-17), “และ ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์ แล้วเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก” (มัทธิว 24: 29-30)
“และจะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความพิศวงงงงวยเพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า; บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก” (ลูกา 21: 25-27)
“ดูเถิด พระองค์จะเสด็จมาในเมฆ และนัยน์ตาทุกดวงและคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์ และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1: 7)
พวกเราได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่พระเจ้าเสด็จกลับมาเพื่อจะทรงรับเจ้าสาวของพระคริสต์กลับพระนิเวศน์ไปสู่พระสิริ พระองค์เสด็จมาและทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองในฐานะพระเมษโปดกให้แก่ 144,000 คน หลังจากนี้พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาตามวิวรณ์ 10: 1-6 ในตอนท้ายของความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พระคริสต์เสด็จมาเป็นครั้งที่สามหลังจากการเสด็จกลับมาของพระองค์เพื่อจะทรงทำลายผู้ต่อต้านพระคริสต์ (เรียกอีกอย่างว่า “คนนอกกฏหมาย”) ตามคำอธิบายของอัครสาวกเปาโลที่ให้ไว้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ขัดขวางผู้ต่อต้านพระคริสต์จะต้องถูกนำออกไปให้พ้นทางก่อน ก่อนที่ผู้ต่อต้านพระคริสต์จะสามารถแสดงอำนาจทั้งหมดของเขาได้ ผู้ที่ป้องกันเขาจากการกระทำเช่นนี้คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งปรากฏอยู่ในเจ้าสาวของพระคริสต์ในขณะนี้ เมื่อเจ้าสาวของพระคริสต์ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และถูกรับขึ้นไปสู่พระสิริ "ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และพระเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์" (2 เธสะโลนิกา 2: 8) “… และท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน (ผู้ต่อต้านพระคริสต์)” (อิสยาห์ 11: 4)
การเสด็จมาของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งกำลังถูกอธิบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิวรณ์ 19: 11-16 ในเวลานั้นพระองค์เสด็จมาบนม้าขาว และพวกคนเหล่านั้นที่อยู่กับพระองค์ได้ติดตามพระองค์ไปบนม้าขาว คำอธิบายในตนเองกล่าวถึงความจริงที่ว่า พระองค์กำลังทรงเคลื่อนเข้าสู่ศึกสงครามครั้งใหญ่ในเวลานั้น พระองค์ผู้นั้นทรงมีพระนามว่า “สัตย์ซื่อและความจริง” และพระนามของพระองค์คือ "พระวจนะของพระเจ้า" พระองค์ทรงพิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม “มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (ข้อที่ 15) เรื่องราวคล้ายกันนี้ถูกพบในวิวรณ์ 14: 17-20 “ทูตสวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และขว้างลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า”
จากการแก้แค้นครั้งยิ่งใหญ่และสุดท้ายนี้พวกเราพบคำเผยพระวจนะมากมายในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่:
“พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นทับทรวง และพระมาลาแห่งความรอดอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ พระองค์ทรงสวมฉลองพระองค์แห่งการแก้แค้นเป็นของคลุมพระกาย และเอาความกระตือรือร้นห่มพระองค์ พระองค์จะทรงชำระให้ตามการกระทำของเขา คือพระพิโรธแก่ปรปักษ์ของพระองค์ และสิ่งสนองแก่ศัตรูของพระองค์ พระองค์จะทรงมอบการสนองแก่เกาะทั้งหลาย" (อิสยาห์ 59: 17-18)
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เพราะวันแก้แค้นอยู่ในใจของเรา และปีแห่งการไถ่ของเราได้มาถึง และเราจะย่ำชนชาติทั้งหลายลงด้วยความโกรธของเรา เราทำให้เขาเมาด้วยความพิโรธของเรา และเราจะทำให้กำลังของเขาถดถอยลงบนแผ่นดินโลก” (อิสยาห์ 63: 4+6)
“ดูเถิด พระนามของพระเยโฮวาห์มาจากที่ไกล ร้อนด้วยความกริ้วของพระองค์ ภาระนั้นก็หนักหนา พระโอษฐ์ของพระองค์เต็มด้วยความกริ้ว และพระชิวหาของพระองค์เหมือนไฟเผาผลาญ ... และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้พระสุรเสียงกัมปนาทของพระองค์เป็นที่ได้ยิน และจะทรงให้เห็นพระกรฟาดลงของพระองค์ ด้วยความกริ้วอย่างเกรี้ยวกราด และเปลวแห่งเพลิงเผาผลาญ พร้อมกับฝนกระหน่ำและพายุ และลูกเห็บ” (อิสยาห์ 30: 27+30)
“มาเถิด ชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเข้าในห้องของเจ้าและปิดประตูเสีย จงซ่อนตัวเจ้าอยู่สักพักหนึ่ง จนกว่าพระพิโรธจะผ่านไป” (อิสยาห์ 26: 20)
“โลกแตกสลายสิ้นเชิงแล้ว โลกละลายหมดสิ้นแล้ว โลกถูกเขย่าอย่างรุนแรง โลกก็จะซวนเซไปอย่างคนเมา มันจะแกว่งไปอย่างเพิง การละเมิดของโลกจะหนักอยู่บนมัน และมันจะล้มและจะไม่ลุกอีก ต่อมาในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษบริวารของฟ้าสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ และบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกในแผ่นดินโลก เขาทั้งหลายจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน เหมือนอย่างนักโทษในคุกมืด และเขาทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในคุก และต่อมาหลายวันเขาจึงจะถูกลงโทษ แล้วดวงจันทร์จะอดสู และดวงอาทิตย์จะอับอาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงราชย์บนภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็ม และสง่าราศีจะปรากฏต่อหน้าพวกผู้อาวุโสของพระองค์" (อิสยาห์ 24: 19-23)
“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแล้ววิบัติเล่า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว ความสิ้นสุดมาถึงแล้ว อวสานนั้นมาถึง มันตื่นขึ้นต่อสู้เจ้า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว โอ ชาวแผ่นดินเอ๋ย เวลาเช้ามาถึงแล้ว เวลามาถึงแล้ว วันแห่งความโกลาหลใกล้เข้ามาแล้ว และไม่ใช่เสียงโห่ร้องยินดีที่บนภูเขา" (เอเสเคียล 7: 5-7)
การพิพากษากองกำลังที่พยายามต่อสู้กับพระเจ้าจะมาถึงในวันเดียว “จงดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมย ผู้ที่เฝ้าระวังให้ดีและรักษาเสื้อผ้าของตนจะได้รับพร เกลือกว่าผู้นั้นจะเดินเปลือยกาย และคนทั้งหลายจะได้เห็นความน่าละอายของเขา และมันให้เขาทั้งหลายชุมนุมที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่า อารมาเกดโดน” (วิวรณ์ 16: 15-16) การกล่าวถึงการเสด็จมาที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับศึกสงครามอันยิ่งใหญ่ของอารมาเกดโดน ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้อธิบายไว้อย่างเดียวกันว่า “และเราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา" (38: 22) ในทำนองเดียวกันเศคาริยาห์ 14: 12-15 เป็นพยานถึงการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาประชาชาติที่จะต่อสู้กับกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้นว่า “เนื้อของเขาจะเน่าไป เมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก ต่อมาในวันนั้นการสับสนอลหม่านอย่างใหญ่โตจากพระเยโฮวาห์จะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนหนึ่งจะจับกุมเพื่อนบ้านของตน และเขาจะยกมือขึ้นต่อสู้กันและกัน"
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือผู้ต่อต้านพระคริสต์และการพิพากษาครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับกองกำลังที่ต่อต้านพระเจ้าได้ถูกกล่าวไว้ใน 2 เธสะโลนิกา 1: 7-8 ด้วยว่า: “… เมื่อพระเยซูเจ้าจะปรากฏองค์จากสวรรค์ พร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ ในเปลวเพลิงจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา” นี่เข้าสู่ช่วงระยะเวลาของ “วันของพระเจ้า” ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเวลาแห่งพระคุณและวันแห่งความรอดได้สิ้นสุดลงแล้ว เหล่าอัครสาวกและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้ว่า
“ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาไหม้เหมือนเตาอบ เมื่อคนที่อวดดีทั้งสิ้น เออ และคนที่ประกอบความชั่วทั้งหมดจะเป็นเหมือนตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด …” (มาลาคี 4: 1)
“แต่วันของพระเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยในเวลากลางคืน ในวันนั้นท้องฟ้าอากาศจะล่วงไปเสียด้วยเสียงดังสนั่น และบรรดาโลกธาตุจะละลายไปด้วยความร้อนอันแรงกล้า แผ่นดินโลกกับการงานทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้นจะถูกเผาเสียสิ้นด้วย” (2 เปโตร 3: 10)
“ทันทีหลังจากความทุกข์เวทนาในวันทั้งหลายเหล่านั้น ดวงอาทิตย์ก็จะมืดและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของมัน” (อิสยาห์ 13: 10; โยเอล 2: 30-32; วิวรณ์ 6: 12-17), “และ ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์ แล้วเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก” (มัทธิว 24: 29-30)
“และจะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความพิศวงงงงวยเพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า; บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก” (ลูกา 21: 25-27)
“ดูเถิด พระองค์จะเสด็จมาในเมฆ และนัยน์ตาทุกดวงและคนเหล่านั้นที่ได้แทงพระองค์จะเห็นพระองค์ และมนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะร่ำไห้เพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1: 7)
พวกเราได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่พระเจ้าเสด็จกลับมาเพื่อจะทรงรับเจ้าสาวของพระคริสต์กลับพระนิเวศน์ไปสู่พระสิริ พระองค์เสด็จมาและทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองในฐานะพระเมษโปดกให้แก่ 144,000 คน หลังจากนี้พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ในฐานะทูตสวรรค์แห่งพันธสัญญาตามวิวรณ์ 10: 1-6 ในตอนท้ายของความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พระคริสต์เสด็จมาเป็นครั้งที่สามหลังจากการเสด็จกลับมาของพระองค์เพื่อจะทรงทำลายผู้ต่อต้านพระคริสต์ (เรียกอีกอย่างว่า “คนนอกกฏหมาย”) ตามคำอธิบายของอัครสาวกเปาโลที่ให้ไว้ เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ขัดขวางผู้ต่อต้านพระคริสต์จะต้องถูกนำออกไปให้พ้นทางก่อน ก่อนที่ผู้ต่อต้านพระคริสต์จะสามารถแสดงอำนาจทั้งหมดของเขาได้ ผู้ที่ป้องกันเขาจากการกระทำเช่นนี้คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งปรากฏอยู่ในเจ้าสาวของพระคริสต์ในขณะนี้ เมื่อเจ้าสาวของพระคริสต์ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และถูกรับขึ้นไปสู่พระสิริ "ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัวขึ้น และพระเจ้าจะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จมาของพระองค์" (2 เธสะโลนิกา 2: 8) “… และท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน (ผู้ต่อต้านพระคริสต์)” (อิสยาห์ 11: 4)
การเสด็จมาของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งกำลังถูกอธิบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิวรณ์ 19: 11-16 ในเวลานั้นพระองค์เสด็จมาบนม้าขาว และพวกคนเหล่านั้นที่อยู่กับพระองค์ได้ติดตามพระองค์ไปบนม้าขาว คำอธิบายในตนเองกล่าวถึงความจริงที่ว่า พระองค์กำลังทรงเคลื่อนเข้าสู่ศึกสงครามครั้งใหญ่ในเวลานั้น พระองค์ผู้นั้นทรงมีพระนามว่า “สัตย์ซื่อและความจริง” และพระนามของพระองค์คือ "พระวจนะของพระเจ้า" พระองค์ทรงพิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความชอบธรรม “มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” (ข้อที่ 15) เรื่องราวคล้ายกันนี้ถูกพบในวิวรณ์ 14: 17-20 “ทูตสวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และขว้างลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า”
จากการแก้แค้นครั้งยิ่งใหญ่และสุดท้ายนี้พวกเราพบคำเผยพระวจนะมากมายในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่:
“พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นทับทรวง และพระมาลาแห่งความรอดอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ พระองค์ทรงสวมฉลองพระองค์แห่งการแก้แค้นเป็นของคลุมพระกาย และเอาความกระตือรือร้นห่มพระองค์ พระองค์จะทรงชำระให้ตามการกระทำของเขา คือพระพิโรธแก่ปรปักษ์ของพระองค์ และสิ่งสนองแก่ศัตรูของพระองค์ พระองค์จะทรงมอบการสนองแก่เกาะทั้งหลาย" (อิสยาห์ 59: 17-18)
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เพราะวันแก้แค้นอยู่ในใจของเรา และปีแห่งการไถ่ของเราได้มาถึง และเราจะย่ำชนชาติทั้งหลายลงด้วยความโกรธของเรา เราทำให้เขาเมาด้วยความพิโรธของเรา และเราจะทำให้กำลังของเขาถดถอยลงบนแผ่นดินโลก” (อิสยาห์ 63: 4+6)
“ดูเถิด พระนามของพระเยโฮวาห์มาจากที่ไกล ร้อนด้วยความกริ้วของพระองค์ ภาระนั้นก็หนักหนา พระโอษฐ์ของพระองค์เต็มด้วยความกริ้ว และพระชิวหาของพระองค์เหมือนไฟเผาผลาญ ... และพระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้พระสุรเสียงกัมปนาทของพระองค์เป็นที่ได้ยิน และจะทรงให้เห็นพระกรฟาดลงของพระองค์ ด้วยความกริ้วอย่างเกรี้ยวกราด และเปลวแห่งเพลิงเผาผลาญ พร้อมกับฝนกระหน่ำและพายุ และลูกเห็บ” (อิสยาห์ 30: 27+30)
“มาเถิด ชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเข้าในห้องของเจ้าและปิดประตูเสีย จงซ่อนตัวเจ้าอยู่สักพักหนึ่ง จนกว่าพระพิโรธจะผ่านไป” (อิสยาห์ 26: 20)
“โลกแตกสลายสิ้นเชิงแล้ว โลกละลายหมดสิ้นแล้ว โลกถูกเขย่าอย่างรุนแรง โลกก็จะซวนเซไปอย่างคนเมา มันจะแกว่งไปอย่างเพิง การละเมิดของโลกจะหนักอยู่บนมัน และมันจะล้มและจะไม่ลุกอีก ต่อมาในวันนั้นพระเยโฮวาห์จะทรงลงโทษบริวารของฟ้าสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ และบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกในแผ่นดินโลก เขาทั้งหลายจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน เหมือนอย่างนักโทษในคุกมืด และเขาทั้งหลายจะถูกกักขังไว้ในคุก และต่อมาหลายวันเขาจึงจะถูกลงโทษ แล้วดวงจันทร์จะอดสู และดวงอาทิตย์จะอับอาย เพราะว่าพระเยโฮวาห์จอมโยธาจะทรงราชย์บนภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็ม และสง่าราศีจะปรากฏต่อหน้าพวกผู้อาวุโสของพระองค์" (อิสยาห์ 24: 19-23)
“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแล้ววิบัติเล่า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว ความสิ้นสุดมาถึงแล้ว อวสานนั้นมาถึง มันตื่นขึ้นต่อสู้เจ้า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว โอ ชาวแผ่นดินเอ๋ย เวลาเช้ามาถึงแล้ว เวลามาถึงแล้ว วันแห่งความโกลาหลใกล้เข้ามาแล้ว และไม่ใช่เสียงโห่ร้องยินดีที่บนภูเขา" (เอเสเคียล 7: 5-7)
การพิพากษากองกำลังที่พยายามต่อสู้กับพระเจ้าจะมาถึงในวันเดียว “จงดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมย ผู้ที่เฝ้าระวังให้ดีและรักษาเสื้อผ้าของตนจะได้รับพร เกลือกว่าผู้นั้นจะเดินเปลือยกาย และคนทั้งหลายจะได้เห็นความน่าละอายของเขา และมันให้เขาทั้งหลายชุมนุมที่ตำบลหนึ่ง ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่า อารมาเกดโดน” (วิวรณ์ 16: 15-16) การกล่าวถึงการเสด็จมาที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับศึกสงครามอันยิ่งใหญ่ของอารมาเกดโดน ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้อธิบายไว้อย่างเดียวกันว่า “และเราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยว ทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา" (38: 22) ในทำนองเดียวกันเศคาริยาห์ 14: 12-15 เป็นพยานถึงการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นกับบรรดาประชาชาติที่จะต่อสู้กับกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้นว่า “เนื้อของเขาจะเน่าไป เมื่อเขายังยืนอยู่ได้ ตาของเขาจะเน่าคาเบ้าตา และลิ้นของเขาจะเน่าคาปาก ต่อมาในวันนั้นการสับสนอลหม่านอย่างใหญ่โตจากพระเยโฮวาห์จะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นคนหนึ่งจะจับกุมเพื่อนบ้านของตน และเขาจะยกมือขึ้นต่อสู้กันและกัน"
ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือผู้ต่อต้านพระคริสต์และการพิพากษาครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับกองกำลังที่ต่อต้านพระเจ้าได้ถูกกล่าวไว้ใน 2 เธสะโลนิกา 1: 7-8 ด้วยว่า: “… เมื่อพระเยซูเจ้าจะปรากฏองค์จากสวรรค์ พร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ ในเปลวเพลิงจะลงโทษสนองคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา” นี่เข้าสู่ช่วงระยะเวลาของ “วันของพระเจ้า” ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเวลาแห่งพระคุณและวันแห่งความรอดได้สิ้นสุดลงแล้ว เหล่าอัครสาวกและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้ว่า
“ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาไหม้เหมือนเตาอบ เมื่อคนที่อวดดีทั้งสิ้น เออ และคนที่ประกอบความชั่วทั้งหมดจะเป็นเหมือนตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด …” (มาลาคี 4: 1)
“แต่วันของพระเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยในเวลากลางคืน ในวันนั้นท้องฟ้าอากาศจะล่วงไปเสียด้วยเสียงดังสนั่น และบรรดาโลกธาตุจะละลายไปด้วยความร้อนอันแรงกล้า แผ่นดินโลกกับการงานทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้นจะถูกเผาเสียสิ้นด้วย” (2 เปโตร 3: 10)