การเสด็จกลับมาของพระคริสต์
หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงเทบ่วงพระพิโรธของพระองค์ลงบนพวกศัตรูเหล่านั้นที่พระองค์ได้ตรัสผ่านเศคาริยาห์ผู้เผยพระวจนะจะสำเร็จ: “และในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอก…” (14: 4) การเสด็จมาครั้งนี้ได้ถูกอธิบายในรายละเอียด พระองค์มิได้เสด็จมาตามลำพัง แต่พวกคนเหล่านั้นที่อยู่กับพระองค์มาด้วยกับพระองค์ “…และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา และพวกวิสุทธิชนทั้งสิ้นจะมากับพระองค์” (ข้อ 5) (พิธีอภิเษกสมรสในพระสิริ ณ เวลานั้นจะแล้วเสร็จ) การเสด็จมาครั้งนี้จะเกิดขึ้นก่อนการเริ่มต้นการครองราชย์ยุคพันปี
ก่อนการครองราชย์พระเจ้าจะทรงจัดตั้งบัลลังก์พิพากษาของพระองค์และจะทรงประกาศอำนาจการพิพากษาของพระองค์ในเวลานั้น “และเหล่าประชาชาติมีความโกรธแค้น แต่พระพิโรธของพระองค์ก็มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว และถึงเวลาที่พระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พยากรณ์ และวิสุทธิชนทั้งปวง และแก่คนทั้งหลายที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย และถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงทำลายคนที่ทำลายแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 11: 18)
เนื่องจากการประกาศข่าวประเสริฐมีความแตกต่างกันไปตามยุคสมัยของคริสตจักรยุคต่างๆ การบริหารความยุติธรรมจึงต้องเกิดขึ้นและทุกคนต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงนั้นถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า การพิพากษาครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการกล่าวโทษ อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมของพระเจ้าได้รับการจัดการโดยพระเจ้า
จากนั้นข้อพระคัมภีร์ทั้งหลายต่อไปนี้จะได้รับการตอบสนอง “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” (2 โครินธ์ 5: 10) “แต่เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือเหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าได้ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ฉันใด หัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องร้องสรรเสริญพระเจ้า”ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” (โรม 14: 10-12)
ก่อนที่กลุ่มของผู้ชอบธรรมที่สมบูรณ์จะสามารถพิพากษากับองค์ผู้พิพากษาและปกครองกับจอมกษัตริย์ได้ พวกเขาต้องยืนอยู่ในการพิพากษาและรับมงกุฎของพวกเขา มงกุฎทั้งหลายจะถูกมอบให้กับบรรดาผู้ที่มีชัยชนะ ข้อพระคัมภีร์กล่าวถึง มงกุฎแห่งความชื่นชมยินดี (1 เธสะโลนิกา 2: 19) มงกุฎแห่งความชอบธรรม (2 ทิโมธี 4: 8); มงกุฎแห่งพระสิริ (1 เปโตร 5: 4); และมงกุฎแห่งชีวิต (ยากอบ 1: 12; วิวรณ์ 2: 10)
ในดาเนียล 7: 26 พวกเราอ่านว่า “แต่ผู้พิพากษาก็จะขึ้นนั่ง …” นี่เป็นไปตามวิวรณ์ 20: 4 ว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา…” ผู้ที่มีชัยชนะทั้งหลายได้รับพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกคน “ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นนั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา…” (วิวรณ์ 3: 21) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีพวกเขาจะไม่เพียงครองราชย์กับพระคริสต์และปกครองประชาชาติทั้งหลาย (วิวรณ์ 2: 26-27) แต่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการพิพากษาด้วย อ. เปาโล เขียนว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าวิสุทธิชนจะพิพากษาโลก? ... ท่านไม่รู้หรือว่า เราจะต้องพิพากษาพวกทูตสวรรค์?” (1 โครินธ์ 6: 2-3) ในหนังสือยูดาห์ พวกเราอ่านเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะของเอโนคที่ได้กล่าวถึงการเสด็จมาของพระเจ้าโดยเฉพาะเจาะจงนี้ว่า “ดูเถิด พระเจ้าเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับหมื่นของพระองค์เพื่อดำเนินการตัดสินแก่ทุกคนและเพื่อตัดสินทุกสิ่งที่อธรรม ดูเถิด พระเจ้าได้เสด็จมาพร้อมกับพวกวิสุทธิชนของพระองค์หลายหมื่น เพื่อทรงพิพากษาปรับโทษคนทั้งปวง และทรงกระทำให้ทุรชนทั้งปวงรู้สึกตัวถึงการอธรรมที่เขาได้กระทำด้วยใจชั่ว …” (ข้อ 14+15)
ในมัทธิว 25: 31-32 นอกจากนี้พวกเรายังพบการอ้างอิงถึงการเสด็จมาครั้งนี้ว่า “เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์ พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์ทั้งปวง เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายโดยแยกพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ”
ในอิสยาห์ 2: 2-5 การพิพากษานี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับบรรดาประชาชาติได้รับการกล่าวถึงเช่นกันว่า “และพระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างบรรดาประชาชาติ และจะทรงตำหนิชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด” ถ้อยคำที่เกือบจะเป็นอันเดียวกันนี้สามารถพบได้ในมีคาห์ 4: 1-5
ตามที่มีผลกระทบต่อประชาชนของอิสราเอลซึ่งเขียนไว้ว่า “และต่อมาคนที่เหลืออยู่ในศิโยนและค้างอยู่ในเยรูซาเล็ม เขาจะเรียกว่าบริสุทธิ์ คือทุกคนผู้มีชื่อในทะเบียนชีวิตในเยรูซาเล็ม” (อิสยาห์ 4: 3) ในเวลานั้นเมื่อผู้ที่รอดชีวิตจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหงจะต้องเผชิญกับการพิพากษา จะเป็นบำเหน็จสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเวลาของความยากลำบากที่ได้มอบชีวิตของพวกเขาให้เป็นคำพยานของพระเยซูคริสต์ “… และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี” (วิวรณ์ 20: 4) แม้ว่าพวกคนเหล่านี้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในพิธีอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกก็ตามแต่พวกเขาก็จะอยู่ในการครองราชย์หนึ่งพันปี พวกเขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งก่อนการเริ่มต้นการครองราชย์ของพระคริสต์บนโลกนี้ และดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นคืนชีพครั้งแรก ในการเชื่อมต่อนี้พวกเรายังต้องอ่านคำร้องขอของ อ. เปาโล ที่อ้างถึงใน 2 ทิโมธี 4: 1 สองครั้งว่า “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย เมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏและตั้งอาณาจักรของพระองค์” อาเมน
“แต่คนอื่นๆ ที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดหนึ่ง ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกจะได้รับพรและจะบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาหนึ่งพันปี” (วิวรณ์ 20: 5-6)
ในเวลานั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ปฏิญาณไว้โดยพระองค์เองก็จะสำเร็จ: “เราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเอง ถ้อยคำได้ออกไปจากปากของเราด้วยความชอบธรรมซึ่งจะไม่กลับว่าหัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องปฏิญาณต่อเรา แน่นอนผู้หนึ่งจะพูดว่า ‘ในพระเยโฮวาห์ข้ามีความชอบธรรมและอานุภาพ’ มนุษย์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์ บรรดาผู้ที่แค้นเคืองต่อพระองค์จะอับอายขายหน้า” (อิสยาห์ 45: 23-24)
“และให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการท่าน” (ฮีบรู 1: 6)
“… เพื่อหัวเข่าทุกหัวเข่าในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี จะต้องคุกกราบลงนมัสการในพระนามของพระเยซูนั้น และเพื่อลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฟิลิปปี 2: 10-11)
ในเวลานั้นทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์จะมีความชื่นชมยินดี “… เมื่อพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับเกียรติในพวกวิสุทธิชนของพระองค์และเพื่อให้เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ” (2 เธสะโลนิกา 1: 10)
ด้วยใจขอบพระคุณ จากนั้นพวกผู้ที่ได้รับการไถ่ที่มีอยู่จะเข้าร่วมการสรรเสริญกับผู้อาวุโสยี่สิบสี่ท่าน สัตว์ทั้งสี่ และเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่หน้าพระบัลลังก์ พวกเขาจะร้องเสียงดังด้วยกันเหมือนในคณะนักร้องที่สง่าผ่าเผยยิ่งใหญ่ว่า “พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ สง่าราศี และคำสดุดี และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก ในมหาสมุทร และบรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และสง่าราศีและฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์" (วิวรณ์ 5: 12-13)
“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงสภาพอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงสภาพอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา” (วิวรณ์ 4: 8)
ทุกคนที่ได้อ่านอย่างรอบคอบจะได้สังเกตเห็นในข้อความนี้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงรับการกล่าวถึงในฐานะบุตรของมนุษย์ แต่เป็นในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในถ้อยคำต่อไปนี้ว่า “และในวันนั้นเขาจะกล่าวกันว่า “ดูเถิด นี่คือพระเจ้าของเราทั้งหลาย เราได้รอคอยพระองค์ เพื่อว่าพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด นี่คือพระเยโฮวาห์ เราได้รอคอยพระองค์ ให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์” (อิสยาห์ 25: 9)
หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงเทบ่วงพระพิโรธของพระองค์ลงบนพวกศัตรูเหล่านั้นที่พระองค์ได้ตรัสผ่านเศคาริยาห์ผู้เผยพระวจนะจะสำเร็จ: “และในวันนั้นพระบาทของพระองค์จะยืนอยู่ที่ภูเขามะกอก…” (14: 4) การเสด็จมาครั้งนี้ได้ถูกอธิบายในรายละเอียด พระองค์มิได้เสด็จมาตามลำพัง แต่พวกคนเหล่านั้นที่อยู่กับพระองค์มาด้วยกับพระองค์ “…และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าจะเสด็จมา และพวกวิสุทธิชนทั้งสิ้นจะมากับพระองค์” (ข้อ 5) (พิธีอภิเษกสมรสในพระสิริ ณ เวลานั้นจะแล้วเสร็จ) การเสด็จมาครั้งนี้จะเกิดขึ้นก่อนการเริ่มต้นการครองราชย์ยุคพันปี
ก่อนการครองราชย์พระเจ้าจะทรงจัดตั้งบัลลังก์พิพากษาของพระองค์และจะทรงประกาศอำนาจการพิพากษาของพระองค์ในเวลานั้น “และเหล่าประชาชาติมีความโกรธแค้น แต่พระพิโรธของพระองค์ก็มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว และถึงเวลาที่พระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พยากรณ์ และวิสุทธิชนทั้งปวง และแก่คนทั้งหลายที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย และถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงทำลายคนที่ทำลายแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 11: 18)
เนื่องจากการประกาศข่าวประเสริฐมีความแตกต่างกันไปตามยุคสมัยของคริสตจักรยุคต่างๆ การบริหารความยุติธรรมจึงต้องเกิดขึ้นและทุกคนต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงนั้นถูกต้องต่อพระพักตร์พระเจ้า การพิพากษาครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการกล่าวโทษ อย่างไรก็ตาม ความยุติธรรมของพระเจ้าได้รับการจัดการโดยพระเจ้า
จากนั้นข้อพระคัมภีร์ทั้งหลายต่อไปนี้จะได้รับการตอบสนอง “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” (2 โครินธ์ 5: 10) “แต่เหตุไฉนท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือเหตุไฉนท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าได้ตรัสว่า “เรามีชีวิตอยู่ฉันใด หัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องร้องสรรเสริญพระเจ้า”ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” (โรม 14: 10-12)
ก่อนที่กลุ่มของผู้ชอบธรรมที่สมบูรณ์จะสามารถพิพากษากับองค์ผู้พิพากษาและปกครองกับจอมกษัตริย์ได้ พวกเขาต้องยืนอยู่ในการพิพากษาและรับมงกุฎของพวกเขา มงกุฎทั้งหลายจะถูกมอบให้กับบรรดาผู้ที่มีชัยชนะ ข้อพระคัมภีร์กล่าวถึง มงกุฎแห่งความชื่นชมยินดี (1 เธสะโลนิกา 2: 19) มงกุฎแห่งความชอบธรรม (2 ทิโมธี 4: 8); มงกุฎแห่งพระสิริ (1 เปโตร 5: 4); และมงกุฎแห่งชีวิต (ยากอบ 1: 12; วิวรณ์ 2: 10)
ในดาเนียล 7: 26 พวกเราอ่านว่า “แต่ผู้พิพากษาก็จะขึ้นนั่ง …” นี่เป็นไปตามวิวรณ์ 20: 4 ว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น ทรงมอบให้เป็นผู้ที่จะพิพากษา…” ผู้ที่มีชัยชนะทั้งหลายได้รับพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกคน “ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้ผู้นั้นนั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา…” (วิวรณ์ 3: 21) ในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีพวกเขาจะไม่เพียงครองราชย์กับพระคริสต์และปกครองประชาชาติทั้งหลาย (วิวรณ์ 2: 26-27) แต่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการพิพากษาด้วย อ. เปาโล เขียนว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าวิสุทธิชนจะพิพากษาโลก? ... ท่านไม่รู้หรือว่า เราจะต้องพิพากษาพวกทูตสวรรค์?” (1 โครินธ์ 6: 2-3) ในหนังสือยูดาห์ พวกเราอ่านเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะของเอโนคที่ได้กล่าวถึงการเสด็จมาของพระเจ้าโดยเฉพาะเจาะจงนี้ว่า “ดูเถิด พระเจ้าเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับหมื่นของพระองค์เพื่อดำเนินการตัดสินแก่ทุกคนและเพื่อตัดสินทุกสิ่งที่อธรรม ดูเถิด พระเจ้าได้เสด็จมาพร้อมกับพวกวิสุทธิชนของพระองค์หลายหมื่น เพื่อทรงพิพากษาปรับโทษคนทั้งปวง และทรงกระทำให้ทุรชนทั้งปวงรู้สึกตัวถึงการอธรรมที่เขาได้กระทำด้วยใจชั่ว …” (ข้อ 14+15)
ในมัทธิว 25: 31-32 นอกจากนี้พวกเรายังพบการอ้างอิงถึงการเสด็จมาครั้งนี้ว่า “เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์ พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์ทั้งปวง เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ บรรดาประชาชาติต่างๆ จะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายโดยแยกพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ”
ในอิสยาห์ 2: 2-5 การพิพากษานี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับบรรดาประชาชาติได้รับการกล่าวถึงเช่นกันว่า “และพระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างบรรดาประชาชาติ และจะทรงตำหนิชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด” ถ้อยคำที่เกือบจะเป็นอันเดียวกันนี้สามารถพบได้ในมีคาห์ 4: 1-5
ตามที่มีผลกระทบต่อประชาชนของอิสราเอลซึ่งเขียนไว้ว่า “และต่อมาคนที่เหลืออยู่ในศิโยนและค้างอยู่ในเยรูซาเล็ม เขาจะเรียกว่าบริสุทธิ์ คือทุกคนผู้มีชื่อในทะเบียนชีวิตในเยรูซาเล็ม” (อิสยาห์ 4: 3) ในเวลานั้นเมื่อผู้ที่รอดชีวิตจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่และการข่มเหงจะต้องเผชิญกับการพิพากษา จะเป็นบำเหน็จสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเวลาของความยากลำบากที่ได้มอบชีวิตของพวกเขาให้เป็นคำพยานของพระเยซูคริสต์ “… และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาหนึ่งพันปี” (วิวรณ์ 20: 4) แม้ว่าพวกคนเหล่านี้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในพิธีอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกก็ตามแต่พวกเขาก็จะอยู่ในการครองราชย์หนึ่งพันปี พวกเขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งก่อนการเริ่มต้นการครองราชย์ของพระคริสต์บนโลกนี้ และดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นคืนชีพครั้งแรก ในการเชื่อมต่อนี้พวกเรายังต้องอ่านคำร้องขอของ อ. เปาโล ที่อ้างถึงใน 2 ทิโมธี 4: 1 สองครั้งว่า “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย เมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏและตั้งอาณาจักรของพระองค์” อาเมน
“แต่คนอื่นๆ ที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดหนึ่ง ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกจะได้รับพรและจะบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาหนึ่งพันปี” (วิวรณ์ 20: 5-6)
ในเวลานั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ปฏิญาณไว้โดยพระองค์เองก็จะสำเร็จ: “เราได้ปฏิญาณโดยตัวเราเอง ถ้อยคำได้ออกไปจากปากของเราด้วยความชอบธรรมซึ่งจะไม่กลับว่าหัวเข่าทุกหัวเข่าจะต้องคุกกราบลงต่อเรา และลิ้นทุกลิ้นจะต้องปฏิญาณต่อเรา แน่นอนผู้หนึ่งจะพูดว่า ‘ในพระเยโฮวาห์ข้ามีความชอบธรรมและอานุภาพ’ มนุษย์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์ บรรดาผู้ที่แค้นเคืองต่อพระองค์จะอับอายขายหน้า” (อิสยาห์ 45: 23-24)
“และให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการท่าน” (ฮีบรู 1: 6)
“… เพื่อหัวเข่าทุกหัวเข่าในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี จะต้องคุกกราบลงนมัสการในพระนามของพระเยซูนั้น และเพื่อลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา” (ฟิลิปปี 2: 10-11)
ในเวลานั้นทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์จะมีความชื่นชมยินดี “… เมื่อพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับเกียรติในพวกวิสุทธิชนของพระองค์และเพื่อให้เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ” (2 เธสะโลนิกา 1: 10)
ด้วยใจขอบพระคุณ จากนั้นพวกผู้ที่ได้รับการไถ่ที่มีอยู่จะเข้าร่วมการสรรเสริญกับผู้อาวุโสยี่สิบสี่ท่าน สัตว์ทั้งสี่ และเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่หน้าพระบัลลังก์ พวกเขาจะร้องเสียงดังด้วยกันเหมือนในคณะนักร้องที่สง่าผ่าเผยยิ่งใหญ่ว่า “พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับฤทธิ์เดช ทรัพย์สมบัติ ปัญญา อานุภาพ เกียรติ สง่าราศี และคำสดุดี และข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก ในมหาสมุทร และบรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า ขอให้คำสดุดีและเกียรติ และสง่าราศีและฤทธิ์เดช จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง และแด่พระเมษโปดกตลอดไปเป็นนิตย์" (วิวรณ์ 5: 12-13)
“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้า พระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ได้ทรงสภาพอยู่ในกาลก่อน ผู้ทรงสภาพอยู่ในปัจจุบัน และผู้ซึ่งจะเสด็จมา” (วิวรณ์ 4: 8)
ทุกคนที่ได้อ่านอย่างรอบคอบจะได้สังเกตเห็นในข้อความนี้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงรับการกล่าวถึงในฐานะบุตรของมนุษย์ แต่เป็นในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในถ้อยคำต่อไปนี้ว่า “และในวันนั้นเขาจะกล่าวกันว่า “ดูเถิด นี่คือพระเจ้าของเราทั้งหลาย เราได้รอคอยพระองค์ เพื่อว่าพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด นี่คือพระเยโฮวาห์ เราได้รอคอยพระองค์ ให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์” (อิสยาห์ 25: 9)